ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 มีนาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ช่วงนี้ชีพจรลงเท้าครับ
กลับมาจากแถวตะวันออกกลางก็ลอยลมกับคณะของ ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูร และดั๊บเบิ้ลเอ ไปถึงออสเตรียนู่น
งานหลักเป็นเรื่องธุรกิจที่เขาไปตกลงทำความร่วมมือกับบริษัทผลิตเส้นใยธรรมชาติชนิดใหม่
ทำเสื้อผ้าจากชิ้นไม้สับ โดยกระบวนการทั้งหมดเป็นเรื่องทางกายภาพล้วนๆ ไม่มีการใช้สารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้อง
น่าสนใจ และคงได้อภิปรายยาวกันคราวหลัง
แต่เสร็จงานแล้วก็ต้องหย่อนใจกันบ้าง
ไปถึงออสเตรีย ทั้งด้วยไฟต์บังคับของงานและการท่องเที่ยว
ก็ต้องไปพักค้างที่ซอลส์เบิร์ก-เมืองเกลือ
หรือเรียกเป็นบาลีให้เท่ๆ ก็ ละวะณังบุรี
ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่รู้จักและจำเขาได้ในฐานะเมืองแห่งดนตรี
อันเนื่องมาจากเป็นบ้านเกิดของคีตกวีใหญ่โมซาร์ต
และเป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์เพลงระดับขึ้นหิ้ง-เดอะ ซาวด์ ออฟ มิวสิก
จนบางทีลืมๆ ไปว่าเมืองอายุร่วมพันปีแห่งนี้ สร้างและเติบโตขึ้นมาจากเกลือ
ผู้จัดรายการเดินทางจึงพาบุกขึ้นเขาเข้าถ้ำ แล้วดิ่งลงใต้บาดาลลงไปอีกร่วมๆ 200 เมตร
ได้สาระหรือความสนุกสนานขนาดไหน เอาไว้ว่ากันหนหลัง
แต่ที่อยากจะเสวนาธรรมหนนี้คือประเด็นว่าด้วย
การจัดการด้านการท่องเที่ยวครับ
ก่อนลงถ้ำเหมืองเกลือนั้น จะต้องผ่านร้านขายของที่ระลึก ซึ่งมีเกลือสารพัดชนิด สารพัดรูปแบบ สารพัดการใช้ประโยชน์เรียงราย
ดูแล้วก็งั้นๆ
อยากซื้ออยู่บ้าง แต่ไม่มาก
แต่พอลงไปใต้ดิน ฟังและดูความยากลำบากของการทำเกลือแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน
กลับขึ้นมาบนผิวโลกใหม่
คราวนี้คนละตะกร้าใหญ่ๆ เจอเกลืออะไรก็กวาดใส่ลงไปหมด
อานุภาพของเรื่องเล่า
และประสิทธิผลของการจัดการโดยแท้
เมื่อเล่าเรื่องเป็นระบบ วิธีการนำเสนอน่าสนใจ
มีทั้งมัคคุเทศก์เล่า มีแสงสีเสียง มีหนังฉายให้ดู (ในถ้ำ)
มีมุขประเภทเดินลอดพรมแดนข้ามประเทศ
มีล่องเรือในบ่อเกลือ มีลงสไลเดอร์ไม้ของคนเหมืองลงไป 2 รอบ รอบละ 30-50 เมตร
คราวนี้เกลือก็ไม่ใช่แค่เกลืออีกต่อไป
และไม่ใช่แค่เกลือถุง 5 บาท 10 บาทธรรมดาอีกแล้ว
แต่เป็นของฝากสุดวิเศษ
และแน่นอน-ราคาก็วิเศษตามขึ้นไปด้วย
กลับเข้ามาในเมือง
อีกอย่างหนึ่งที่จะเห็นชินตาก็คือ ร้านค้าร้านเล็กร้านน้อย ที่ขึ้นป้ายหน้าร้าน-เพื่อการต้อนรับบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายโดยเฉพาะ-ว่า Tax Free Shop
แปลว่าร้านค้าปลอดภาษีบ้านเขา ไม่ได้มีแต่เครือใหญ่
แต่การท่องเที่ยวของเขาสร้างโอกาสให้เกิดการกระจายรายได้ลงไปถึงระดับท้องถิ่น ระดับชาวบ้านอย่างแท้จริง
ถ้าจะบอกว่าสมัยก่อนเมืองไทยทำไม่ได้
เดี๋ยวนี้เราก็เข้ายุค 4.0 แล้วไม่ใช่หรือ
พร้อมเพย์ก็ทำแล้ว
บัตรคนจนยากกว่านี้ยังแจกกันได้เป็นล่ำเป็นสัน
ฐานระบบภาษีเงินได้ก็ออนไลน์ทั่วประเทศมาแล้วหลายปี
ฐานข้อมูลทะเบียนการค้า-ร้านค้าก็ออนไลน์แล้วเหมือนกัน
ถามว่าทำไมจะให้ชาวบ้านทำร้านค้าปลอดภาษีในท้องถิ่นไม่ได้
เขาไม่ได้เอาสินค้าต่างประเทศเข้ามาขายโดยไม่ติดอากร
ไม่ได้แข่งกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ไปประมูลสัมปทานจากรัฐแน่นอน
แต่เป็นการยกระดับชาวบ้าน
เป็นการกระจายรายได้จริงๆ
เห็นท่านนายกรัฐมนตรี-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองนายกรัฐมนตรี-สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประสานเสียงบอกว่า
ประเด็นหลักของการทำงานเรื่องหนึ่งในปีนี้
คือการกระจายรายได้ โดยเฉพาะให้ลงไปสู่ท้องถิ่น-ชนบทมากขึ้น
ปีนี้รัฐมนตรีท่องเที่ยว-วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ก็ลุยขยายการท่องเที่ยวใน “เมืองรอง”
รัฐมนตรีพาณิชย์-สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ก็ประกาศไว้ตั้งแต่ปีก่อนว่าจะเข้าไปอุ้มชูหรือเปิดโอกาสให้ร้านค้ารายเล็กรายน้อยมากขึ้น
ลงว่าหลายท่านพูดพร้อมๆ กัน รัฐมนตรีคลัง-อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เขาจะใจไม้ไส้ระกำหรือ
คำถามก็คือ เราจัดการประเทศกันด้วยคำสัญญาหรือว่าการกระทำ
และเอาเข้าจริงแล้ว
จัดการไปเพื่อประโยชน์ของใคร?