ทราย เจริญปุระ : ใบอนุญาต

"การมอดไหม้ที่พ้นผ่านไปนานแล้ว" รวมเรื่องสั้นโดย ทานเกวียน ชูสง่า ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 โดยสำนักพิมพ์เดย์ดรีม, กันยายน 2560

“มันไม่มีทางอื่นแล้วเหรอคะ?”

ห้องนั้นเล็ก เงียบ และเย็นจนออกจะหนาวด้วยเครื่องปรับอากาศที่ตั้งองศาให้ส่องตรงลงมาที่ฉันพอดี

ฉันอ่านเอกสารข้างหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ที่จริงมันก็เขียนไว้ละเอียดดี มีระบุข้อดีข้อเสีย วิธีการ และการดูแลเอาไว้ครบถ้วน

แต่ความหมายเหล่านั้นก็ดูจะไม่ค่อยซึมเข้าไปในหัวฉันเท่าไหร่

“หมอบอกได้แค่ว่า ตัวหมอทำทุกทางที่ทำได้แล้วจ้ะ แต่เข้าใจนะ ถ้าญาติคนไข้จะไม่สบายใจ และพาออกไปดูแลหรือรักษาด้วยวิธีอื่น”

 

ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้มีอะไรอยู่ในความคิดความทรงจำของแม่บ้าง

อาการป่วยนั้นไม่ได้ลดทอนความสามารถในการจดจำ แต่มันกลับสร้างชุดคำตอบใหม่ๆ เหตุผลใหม่ๆ ตรรกะพิสดารเลยขอบฟ้าความจริงขึ้นมาแทนที่

ความจำนั้นยังคงอยู่

แต่ก็อย่างที่รู้กันดี ว่าความจำนั้นเป็นหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุด

สิ่งที่แม่จำในตอนนี้ มันอาจจะจริงหรือไม่ก็ได้

แต่ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าความทรงจำของฉันถูกต้อง

 

-ความรักไม่โอบกอดเราเสมอไป-*

ฉันคุยกับน้องทั้งสองคนว่าจำอะไรในวัยเด็กได้บ้าง เรื่องแม่ เรื่องพ่อ เรื่องของพวกเรา

ตลกดีที่เราจำเพื่อนเล่นของเราได้ -ต๋องต๋อง-

“ต๋องต๋อง” ไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีชีวิตด้วยซ้ำ มันเป็นแค่เศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ถูกขยำปั้นเป็นก้อนกลม พันเทปกาวทับจนทั่ว แล้วเขียนตา ปาก จมูกลงไป

ต๋องต๋องมีเพื่อนชื่อปั๋งปั๋ง ถูกสร้างขึ้นมาแบบเดียวกัน เป็นเพื่อนของพวกเรา

เราทั้งสามคนคุยกันเอง คุยกับต๋องต๋อง คุยกับปั๋งปั๋ง

เราทั้งสามเรียนรู้ที่จะเลือกคุยกับแม่เฉพาะเวลาแม่ถาม เลือกเรื่องที่จะเล่าแล้วใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างสงบสุข

น้องชายฉันจำเรื่องที่แม่บอกเขาว่าไม่เคยอยากได้ลูกชายเลย ไม่รู้จะเลี้ยงยังไง ไม่สนุก

น้องสาวฉันจำได้ว่าแม่บอกว่าจริงๆ โลกนี้ต้องไม่มีน้องสาวฉันเกิดมา

 

ฉันจำได้ว่ากลางดึกคืนหนึ่งที่ฝนตกรุนแรง ฝ้าเพดานชุ่มน้ำพร้อมโคมไฟในห้องนอนตกมาใส่ฉัน เปียกโชก รุงรังระโยงระยางสายไฟ ลมหวีดหวิวดังคุกคามชัดเจนกว่าเดิม

ฉันค่อยๆ ชักขาออกจากซากโคมและฝ้าเปื่อยๆ ที่ถมอยู่บนผ้าห่ม หยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งเพิ่งเคยมีเป็นของตัวเองโทร.หาแม่

ทันทีที่แม่รับ ฉันกรอกเสียงละล่ำละลักเล่าเหตุการณ์ที่เกิด โล่งใจเป็นกำลังที่ได้เล่าเหตุหายนะนี้ให้แม่ได้ฟัง

แม่ถามว่าฉันเป็นอะไรหรือเปล่า

ฉันตอบเจือสะอื้นไปว่า, ฉันไม่เป็นไร ไม่มีบาดแผล

แม่ไม่หยุดคิดเลยด้วยซ้ำตอนตอบกลับมาว่า, งั้นก็นอนต่อไปสิ จะโทร.มาทำไม

แล้ววางสาย

ฝ้าเพดานโหว่วิ่นนั้นดูเศร้าใจ ที่ต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ยามค่ำคืน

 

ฉันมั่นใจว่าเรื่องดีๆ มันย่อมมีอยู่แล้ว แต่–คุณจะเลือกได้อย่างไร เป็นพันพันวันของชีวิตที่ผ่าน มันคงมีแค่บางวันเท่านั้นที่อยู่กับเราเสมอ เลือกเส้นทาง กำหนดวิธีการ และหล่อหลอมให้เราเป็นเรา สร้างกลวิธีในการรับมือกับโลกรอบข้าง เราสามพี่น้องมีกันและกันเสมอ จนโตๆ ขึ้นมาแล้วนี่ก็ยังสนิทสนมกันดี จะว่าไปก็อาจเป็นวิธีการเลี้ยงลูกของแม่ก็ได้ ที่ทำให้เราทั้งสามเกาะติดกันเองอย่างเหนียวแน่น แต่ก็มีที่ทางมากพอให้แต่ละคนเป็นตัวของตัวเอง

เราเรียนรู้ที่จะแบ่งปันความลับกันด้วยเสียงกระซิบ การลอบสบตา หรือในบทสนทนาลับหลังแม่

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเล่าเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาทำไม

แค่อยากจะบอกว่านี่คือรูปแบบความสัมพันธ์ของฉันกับทุกๆ อย่างล่ะมั้ง

แต่โลกแห่งความจริงไม่มีต๋องต๋อง และไม่มีปั๋งปั๋งให้ฉันกระซิบกระซาบพูดคุย

บางวันฉันก็ไม่รู้จะถามอะไรกับใคร

บางทีฉันก็นึกว่าสิ่งที่ฉันได้อ่านจากหนังสือคือคำตอบสุดท้ายไม่มีอย่างอื่น

บางทีฉันก็คิดว่าพ้นจากแม่ไปแล้ว ทุกๆ คนบนโลกล้วนพูดคุยกับครอบครัวตัวเองแบบฉัน

รอคำสั่ง

พยักหน้า

ปฏิบัติ

แล้วเก็บเอาความต้องการของตัวเองไว้คุยในโลกเฉพาะ ที่มีแต่เศษกระดาษหนังสือพิมพ์พันเทปกาวได้รับฟัง

 

-การมอดไหม้ที่พ้นผ่านไปนานแล้ว-*

ตอนเด็กๆ ฉันกับทุกคนในครอบครัว จะได้ไปหัวหินกันทุกครั้งที่ปิดเทอมฤดูร้อน และพ่อจะซื้อเทปคาสเส็ตของอัสนี-วสันต์มาพร้อมข้าวเหนียวมะม่วงจากตลาดฉัตรไชยเพื่อเปิดฟังในรถตอนขากลับ เหมือนเป็นธรรมเนียมว่าเราจะได้ฟังเพลงวนจนจบอัลบั้มหลายรอบกว่าจะขับรถมาถึงบ้าน

ฉันยังจำเนื้อเพลงที่มาพร้อมกับกลิ่นครีมกันแดดของแม่ได้

มีกี่ครั้งที่เธอไป มีอีกไหมที่ไปจากใจฉัน

มีกี่ครั้งที่เธอลืม มีกี่ครั้งที่เธอลืมว่ามีฉัน

มีกี่ครั้งที่เราตื่น มีกี่ครั้งที่คืนจากความฝัน

มีกี่ครั้งที่เธอมี มีกี่ครั้งที่มีแต่ความหลัง

ไม่จบ ไม่เคยยอมให้จบ

รักเธอ ก็ยังเป็นเรื่อยไป

เหมือนก่อน ต่างก็เคยเห็นอยู่

รู้อยู่ แต่ไม่ยอมเปลี่ยนใจ**

แม่จะเปิดกระจกรถลงทุกบาน จุดบุหรี่ และค่อยๆ พึมพำเนื้อเพลงทีละนิด จนเมื่อแม่จำเพลงได้ทั้งหมด

ก็แปลว่าเรากำลังจะถึงบ้าน

มองไป เห็นหน้าเธออยู่รำไร

ไม่เปลี่ยน

แต่วนเวียน ให้จวนเจียนเจ็บในใจ

ช้ำใจ**

 

-ไม่อาจหวนคืนย้อนกลับ-*

แปลกดีที่มือฉันไม่สั่นเลย แล้วสมองของฉันก็เล่นกลย้อนไปถึงฉากหนึ่งในหนังก๊อดฟาเธอร์ ตอนที่ไมเคิลต้องมาเฝ้าดอนที่โรงพยาบาล และทั้งที่รู้ตัวว่าตกอยู่ตรงกลางสถานการณ์สุดอันตราย เขาก็ขอบุหรี่จากคนข้างๆ มาจุดสูบ

มือที่คีบบุหรี่นั่นแน่วนิ่งพอๆ กับเปลวไฟ

ไฟนั้นเป็นคนละอย่างกับที่กำลังจะส่งกระแสเข้าสู่สมองของแม่ฉัน

และใช่, ฉันเขียนชื่อตัวเองลงบนใบอนุญาต ยินยอมให้หมอทำการนั้นด้วยตัวฉันเอง

———————————————————————————————————–

*ชื่อเรื่องสั้นจากหนังสือ
**เนื้อเพลง “ไม่จบ” ของอัสนี-วสันต์, 2533