รายงานพิเศษ/เม็ดเงินสะพัด 1.3 หมื่นล้าน ร้านค้าขึ้นป้าย งดแจกอั่งเปา เทศกาลตรุษจีนยังไม่ได้อานิสงส์ทั้งระบบ

รายงานพิเศษ/โชคชัย บุณยะกลัมพ

https://www.facebook.com/ChokCyberAIEntertainment/

เม็ดเงินสะพัด 1.3 หมื่นล้าน

ร้านค้าขึ้นป้าย งดแจกอั่งเปา

เทศกาลตรุษจีนยังไม่ได้อานิสงส์ทั้งระบบ

เม็ดเงินค่าใช้จ่ายในเทศกาลตรุษจีน มีผลสอดคล้องต่อการพยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ รวมถึงมองภาวะเศรษฐกิจแย่ลงหรือดีขึ้น

ตรุษจีนที่ผ่านมา มีความสำคัญต่อคนไทยเชื้อสายจีนที่อยู่ในเมืองไทย เป็นวันที่คนไทยเชื้อสายจีนจะออกไปเที่ยวฉลองวันปีใหม่กับครอบครัว และกราบไหว้บรรพบุรุษ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ

ย่านเยาวราช ที่มีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่มาก ในช่วงเช้ามีประชาชนออกมาตั้งโต๊ะกราบไหว้บรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันทุกบ้าน ก่อนที่จะจุดประทัดเฉลิมฉลอง

ซึ่งโดยปกติหลังจากเสร็จสิ้นพิธีกราบไหว้แล้ว จะมีการแจกอั่งเปาหรือซองแดง ให้กับคนในครอบครัวหรือญาติ บางคนก็แจกให้แก่ประชาชนคนทั่วไปที่เดินผ่านไปมา

สิ่งที่เจอทำให้ประหลาดใจเมื่อได้พบกับป้ายที่ติด “ปีนี้งดแจกอั่งเปา (เศรษฐกิจไม่ดี)” เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมา สะท้อนให้เห็นสภาพเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ในตอนนี้

เจ้าของร้านเล่าว่า ที่ต้องเขียนป้ายแบบนี้ เพราะปกติในทุกๆ ปี จะแจกอั่งเปาให้กับคนที่อยู่ในละแวกนี้ เพื่อเป็นของขวัญวันปีใหม่ แต่ปีนี้ไม่ได้แจกให้ เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี ในปีหน้าก็ยังไม่ทราบว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นหรือไม่

ถ้ายังฝืดเคืองเช่นนี้ ก็คงต้องงดแจกอั่งเปา

ผู้ประกอบการบางรายยอมรับว่าการค้าขายในเทศกาลตรุษจีนปีนี้อาจไม่คึกคักเหมือนปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างซบเซา อีกทั้งเครื่องเซ่นไหว้ กระดาษเงิน กระดาษทอง ขนมชนิดต่างๆ หากรับมาจำหน่ายมากเกินไป อาจทำให้สินค้าจำหน่ายไม่หมดและต้องขาดทุน

ประกอบกับตรุษจีนปีนี้ วันจ่ายและวันไหว้ ตรงกับวันทำงาน จึงอาจทำให้คนออกมาซื้อสินค้าน้อย แต่หากเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ จำนวนคนซื้อจะมากกว่านี้ รวมทั้งในพื้นที่มีตลาดเกิดขึ้นหลายแห่ง ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น บางรายเลือกซื้อสินค้าตามห้างสรรพสินค้า แทนการซื้อของในตลาดสด ทั้งนี้ พบว่าสินค้าบางชนิดมีขนาดเล็กลง เช่น ขนมเปี๊ยะ ช่อดอกไม้

สาเหตุหลักอีกประการหนึ่ง น่าจะมาจากประชาชนส่วนใหญ่นิยมซื้อสินค้าจากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ที่มีโปรโมชั่นจูงใจด้านราคา และมีการขายเป็นแพ็กรวมกับเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อได้ตามฐานะและความต้องการเพื่อประหยัดรายจ่ายด้านเครื่องเซ่นไหว้

ผลจากความเคร่งครัดในประเพณีที่เริ่มคลายลงจากคนรุ่นใหม่ ประกอบกับการปรับปริมาณเครื่องเซ่นไหว้ให้สอดคล้องกับสมาชิกในครอบครัวที่ลดลง จากการแยกครอบครัวของลูกหลาน ทำให้คนบางกลุ่มตัดสินใจที่จะประหยัดและควบคุมค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับปีก่อน

โดยคาดว่าเม็ดเงินค่าเครื่องเซ่นไหว้ในปีนี้ของคนกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ประมาณ 5,970 ล้านบาท ทรงตัว ใกล้เคียงกับปีก่อน

การที่กำลังซื้อในกลุ่มฐานรากยังไม่ปรับตัวดีขึ้นนัก อาจเป็นผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีนยังไม่ได้อานิสงส์ทั้งระบบ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีการวิเคราะห์สถานการณ์ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2561 เฉพาะในส่วนของคนไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่กรุงเทพฯ พบว่าผลจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนชั้นกลางขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม การที่กำลังซื้อในกลุ่มฐานรากยังไม่ปรับตัวดีขึ้นนัก ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนไทยเชื้อสายจีนที่มีมุมมองต่อความสำคัญของแต่ละกิจกรรมอย่างไร

โดยจากผลสำรวจพบว่าเม็ดเงินค่าใช้จ่ายช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2561 มีการเพิ่มขึ้นในส่วนของค่าใช้จ่ายจากทำบุญ/ท่องเที่ยว และเม็ดเงินแต๊ะเอีย

ขณะที่เม็ดเงินค่าเครื่องเซ่นไหว้อาจอยู่ในภาวะที่ทรงตัว เนื่องจากความเคร่งครัดในประเพณีที่ไม่เข้มแข็งเหมือนแต่ก่อน ทำให้แต่ละครอบครัวใช้เม็ดเงินในส่วนนี้เท่าที่จำเป็น นอกจากนี้ ราคาสินค้าเองก็ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาก

ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงสรุปว่าเม็ดเงินค่าใช้จ่ายช่วงเทศกาลตรุษจีนของคนกรุงเทพฯ รวมจะอยู่ที่ประมาณ 13,440 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มร้อยละ 4.3 (YoY)

คาดว่าในระยะข้างหน้า เม็ดเงินค่าใช้จ่ายในส่วนของการไหว้ตรุษจีน อาจมีแนวโน้มปรับลดลง ตามจำนวนคนจีนรุ่นก่อนที่มีบทบาทนำด้านการจัดเตรียมพิธีไหว้ที่มีแนวโน้มลดลง และถูกทดแทนด้วยคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคร่งครัดประเพณี

ซึ่งปัจจัยดังกล่าว นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายของธุรกิจในการวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการตลาดที่อาจเปลี่ยนไป โดยเฉพาะการดึงคนรุ่นใหม่ที่มีความหลากหลายและไม่ยึดติดกับประเพณีเดิม รวมถึงบางกลุ่มก็พร้อมที่จะไม่สืบทอดต่อไปให้มาใช้บริการ

และท้ายที่สุดอาจต้องนำธุรกิจเพื่อเชื่อมโยงกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีนจากประเทศต่างๆ ให้มาใช้จ่ายในช่วงตรุษจีนในประเทศไทย