อาชญากรรม : จากซากเสือดำทุ่งใหญ่ ลามรีสอร์ตรุกป่าภูเรือ บิ๊กอิตาเลียนไทยกระอัก ตร.ตั้งสอบปมฟอกเงิน

ยังคงเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสังคมอย่างกว้างขวาง

สำหรับกรณีเจ้าสัวเปรมชัย กรรณสูต บิ๊กบอสอิตาเลียนไทย ยักษ์ใหญ่ธุรกิจก่อสร้าง ถูกจับกุมพร้อมพวกคาแคมป์พักแรมภายในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร พร้อมซากสัตว์ป่า ทั้งไก่ฟ้าหลังเทา เก้ง และเสือดำที่ถูกชำแหละ ถลกหนังเรียบร้อย

นำไปสู่การดำเนินคดีในหลายข้อหา

แถมยังลุกลามบานปลายไปถึงการตรวจสอบที่ดินในการถือครองของบริษัทเจ้าสัวจำนวนหลายพันไร่ ที่ จ.เลย

จนกระทั่งพบว่าส่วนหนึ่งรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ป่าสงวนฯ จนต้องสั่งเพิกถอนที่ดินส่วนหนึ่ง พร้อมเร่งตรวจสอบเพิ่มเติมว่าเข้าข่ายฟอกเงินหรือไม่

ขณะที่กลุ่มขบวนการที่ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้เจ้าสัวเข้าป่าได้อย่างสะดวกโยธิน ก็ถูกตรวจสอบด้วยเช่นกัน

เพื่อดำเนินคดีให้ครบวงจร ถือเป็นคดีตัวอย่าง ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง

ไม่ให้ต้องมีสัตว์ป่าที่ไหนถูกล่าอีก

เช็กบิลรีสอร์ตเจ้าสัวรุกป่าภูเรือ

หลังจากที่เจ้าสัวเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัทอิตาเลียนไทย ถูกเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าจับกุมภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ โดยเจ้าหน้าที่ตรวจค้นพบอาวุธปืน ทั้งไรเฟิล ปืนยาว เครื่องกระสุนจำนวนมาก

พร้อมกับพบซากสัตว์ป่า ประกอบด้วยไก่ฟ้าหลังเทา เก้งป่า และซากเสือดำถูกชำแหละและถลกหนัง จึงควบคุมตัวส่ง สภ.ทองผาภูมิ เพื่อดำเนินคดี แจ้ง 9 ข้อหา ก่อนที่ทั้ง 4 คนจะยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 1.5 แสนบาท ประกันตัวออกไปต่อสู้คดี

โดยที่จากการสอบสวนพบว่า นายเปรมชัย อาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ในพื้นที่ อ.ภูเรือ จ.เลย เนื่องจากพบว่ามีรังเย็นรีสอร์ต ซึ่งถือครองโดยบริษัทซีพีเค อินเตอร์เนชั่นแนล ที่มี นายชัยยุทธ กรรณสูต พ่อของนายเปรมชัย เป็นประธาน และมีตัวนายเปรมชัยเป็นกรรมการด้วย

ส่งผลให้เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน นำโดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. บุกเข้าตรวจสอบเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พบเป็นรีสอร์ตขนาดใหญ่ ครอบครองพื้นที่กว่า 6 พันไร่

โดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ เข้าไปตรวจสอบอาคารรังเย็นรีสอร์ต อ.ด่านซ้าย ค้นพื้นที่และอาคารภูเรือวโนทยาน อ.ภูเรือ และพื้นที่อาคารชาโตเดอะเลย โรงงานผลิตไวน์และไร่องุ่น อ.ภูเรือ นอกจากนี้ ห่างจากรังเย็นรีสอร์ต พบบ้านพักที่ใช้ชื่อบ้านชัยชนะ ตรวจสอบเป็นของบริษัทซีพีเคฯ เช่นกัน

ทั้งนี้ อรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยว่า แปลงแรกเป็นพื้นที่รีสอร์ต จำนวน 19 ไร่ เป็นพื้นที่มีโฉนด เบื้องต้นถือว่าถูกต้องไว้ก่อน แต่ต้องตรวจสอบรายละเอียดอีกรอบว่าออกโฉนดโดยชอบหรือไม่

ส่วนอีกแปลงครอบครองโดยบริษัท ซีพีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 6,215 ไร่ เดิมมีเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 ก. ถูกเพิกถอนไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 ต่อมาบริษัททำเรื่องขอเช่า โดยอ้างว่าเพื่อใช้ทำการเกษตร

ต่อมาไม่นานก็ยกเลิกการเช่า และนำพื้นที่ส่วนหนึ่ง 38 แปลงที่ทับซ้อนอยู่ในพื้นที่ที่ถูกเพิกถอนไปแล้ว จำนวน 679 ไร่ ไปขอออกโฉนดในช่วงที่มีการเดินสำรวจ และออกโฉนดสำเร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเชื่อว่าออกโฉนดน่าจะไม่ถูกต้อง เพราะถือว่ายังเป็นที่ดินของรัฐแต่เดิม จึงต้องดำเนินคดีข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่า 6,000 กว่าไร่ รวมทั้งดำเนินคดีเอาผิดตามกฎหมายที่ดินด้วย

ซึ่งคดีนี้สร้างความเสียหายแก่รัฐเป็นจำนวนเงินกว่า 600 ล้านบาท และต้องตรวจสอบว่ามีความผิดฐานฟอกเงินด้วยหรือไม่

นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลว่ามีบริษัทเครือญาติเจ้าสัวเปรมชัย เข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตป่าสงวนฯ เขาสอยดาว นับ 4 พันไร่

ซึ่งต้องตรวจสอบต่อไป

ย้อนนาทีจับเปรมชัยคาทุ่งใหญ่

สําหรับคดีนี้ปรากฏในความรับรู้ของสังคม ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เมื่อเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก ควบคุม นายเปรมชัย นายยงค์ โดดเครือ อายุ 65 ปี ชาวราชบุรี นางนที เรียมแสน อายุ 45 ปี ชาวนครราชสีมา และนายธานี ทุมมาศ อายุ 56 ปี ชาว จ.กาญจนบุรี ส่งดำเนินคดีที่ สภ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

หลังจากที่สามารถจับกุมได้บริเวณห้วยปะชิ ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก พร้อมของกลาง ปืนไรเฟิล ขนาด .30-06 ติดกล้อง ปืนไรเฟิล .22 ติดกล้อง ปืนลูกซองแฝด เบอร์ 20 กระสุนปืนขนาด .30-06 จำนวน 7 นัด กระสุนปืน .22 จำนวน 114 นัด กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 20 จำนวน 4 นัด

กระสุนปืนลูกซอง 2 แรงครึ่ง 13 นัด กระสุนปืนลูกซอง 1 แรง จำนวน 4 นัด เข็มขัดบรรจุกระสุนปืนลูกซอง และน้ำมันล้างปืน

นอกจากนี้ ยังพบซากสัตว์ป่าจำนวนมาก ประกอบด้วยซากเสือดำชำแหละแล้ว 1 ตัว น้ำหนัก 10.6 ก.ก. หนังเสือดำยาวจากหัวถึงสะโพก 83 ซ.ม. หนังเสือดำชำแหละแล้ว 1 ผืน หนัก 2.6 ก.ก. ความยาวจากหัวถึงหาง 1.48 ม. ซากไก่ฟ้าหลังเทา 1 ตัว หนัก 0.6 ก.ก. และเนื้อเก้ง ทั้งหมดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

โดย นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ เปิดเผยถึงนาทีจับกุมว่า เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 4 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่พบกลุ่มคนเข้าไปกางเต็นท์ในจุดห้าม จึงเข้าไปพูดคุยแนะนำ แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ ชุดลาดตระเวนจึงวิทยุแจ้งหน่วย ตนจึงให้รองหัวหน้าเขตเข้าไปพูดคุย แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือเช่นเดิม

เจ้าหน้าที่จึงเดินตรวจสอบจุดกางเต็นท์ ระหว่างนั้นมีเสียงปืน จึงเข้าไปตรวจสอบพบชายคนหนึ่งกำลังเล็งปืนไปที่สัตว์ป่าที่หากินบนยอดไม้ จึงแจ้งให้หยุด แล้วคุมตัวมารวมกับชายที่กางเต็นท์ ระหว่างนั้นพบปลอกกระสุนลูกซองและเศษชิ้นเนื้อคล้ายเครื่องในสัตว์กองอยู่ พร้อมถุงใส่เกลือ จึงเอะใจเพราะปกติเกลือไม่น่าตกอยู่ในป่า

จึงสันนิษฐานว่ากลุ่มดังกล่าวน่าจะเข้ามาล่าสัตว์ เมื่อให้เปิดกระเป๋าและกระติกน้ำแข็ง พบซากไก่ฟ้า เนื้อหมูป่า ค้นตัวชายคนหนึ่งก็พบปืน จึงเชื่อว่าไม่ได้มาเที่ยวศึกษาเส้นทางธรรมชาติแน่ จังหวะนั้นดึกและมืด จึงคุมตัวมาที่สำนักงานก่อน กระทั่งเช้าไปตรวจเพิ่ม จึงเจอซากเสือดำ

“ระหว่างจับกุมนั้นไม่คิดมาก่อนว่าจะเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่โตมีชื่อเสียง ป่าทุ่งใหญ่ก็เป็นมรดกโลก ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมาเจอคนที่มีชื่อเสียง แต่เมื่อจับกุมตัวมาแล้วก็ไม่ได้วิตก หรือเกรงกลัวกลุ่มใดเข้ามากดดัน หรือแทรกแซงการทำงาน ส่วนตัวแล้วไม่ได้หวั่นไหวเมื่อถูกเจ้าหน้าที่จับกุม การปฏิบัติก็ต้องเท่าเทียมกันกับชาวบ้าน หรือประชาชนทุกคน”

เป็นคดีที่สุดอื้อฉาวคดีหนึ่ง

สอบรูดคนอำนวยความสะดวก

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ ก็มีกระแสข่าวที่ระบุว่านายเปรมชัยเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพร้อมอาวุธครบมือได้เพราะเป็นแขกวีไอพีของบิ๊กกรมอุทยานแห่งชาติ

ซึ่งกรณีนี้ นายวิเชียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ ให้การว่าเป็นคนทำเรื่องอนุญาตให้นายเปรมชัยเข้าไปในพื้นที่ โดยไม่ได้เก็บค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาท และค่าธรรมเนียมยานพาหนะ 30 บาท รวม 110 บาท เนื่องจากได้รับการประสานจากผู้อำนวยการ ให้ทำเรื่องอนุญาต และงดเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อไปศึกษาธรรมชาติ

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ระบุว่า จากการสอบสวนพบว่านายเปรมชัยมีความพยายามติดสินบนเจ้าพนักงาน จึงเตรียมแจ้งข้อหานายเปรมชัยและพวกฐานให้สินบนเจ้าพนักงานอีกข้อหาหนึ่ง

ขณะที่ ดร.กาญจนา นิตยะ ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า เปิดเผยว่า ได้รับการติดต่อจาก นายนพดล พฤกษะวัน อดีตข้าราชการกรมอุทยานฯ ซึ่งปัจจุบันไปเป็นที่ปรึกษาบริษัทอิตาเลียนไทย ทางโทรศัพท์ บอกว่านายเปรมชัยและพวกอีก 3 คนขออนุญาตเข้าค้างคืนในทุ่งใหญ่ 2 คืน เพื่อศึกษาธรรมชาติ เพราะนายเปรมชัยชอบเข้าป่า รักธรรมชาติ จึงให้ไปประสานกับสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี พร้อมแจ้งในพื้นที่ว่าจะมีชุดนี้เข้าไปแต่ต้องทำตามระเบียบ

“ติดต่อกับนายนพดล 3 ครั้ง ทำหน้าที่ประสานงานให้เท่านั้น เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งการอนุญาต รู้สึกท้อแท้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่คิดว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ในสังคม แถมดิฉันยังถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุน แต่ยืนยันไม่มีใครรู้เห็นเป็นใจให้ใครเข้าไปล่าสัตว์แน่นอน”

ส่วนนายนพดลที่ถูกตำรวจออกหมายเรียก ก็ย่องเข้าพบพนักงานสอบสวน ปทส. เมื่อช่วงเย็นวันที่ 12 กุมภาพันธ์ โดยถูกสอบปากคำนานกว่า 5 ชั่วโมง

ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า เป็นที่ปรึกษาของอิตาเลียนไทย ที่มีนายเปรมชัยเป็นประธาน และเป็นผู้ประสานงานไปยัง น.ส.กาญจนา เนื่องจากนายเปรมชัยติดต่อมาว่าต้องการเข้าไปในเขตทุ่งใหญ่ เพื่อศึกษาธรรมชาติ ไม่ได้บอกว่าจะเข้าไปล่าสัตว์

ขณะที่ไฟฉายที่มอบให้เจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ หลังเจ้าหน้าที่จับกุมนายเปรมชัยและพวก ไม่ใช่การติดสินบน แต่เนื่องจากตนเป็นอดีตข้าราชการกรมอุทยานฯ จึงให้ไว้ใช้เพื่อการอำนวยความสะดวก

อย่างไรก็ตาม นายวิเชียร ก็ได้แจ้งความร้องทุกข์เอาผิดในประเด็นนี้ไว้เรียบร้อย

ไม่ให้ใครที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ ได้หลุดรอดลอยนวล