ใส่บ่าแบกหาม พรพิมล ลิ่มเจริญ / Blue Jay

ใส่บ่าแบกหาม/พรพิมล ลิ่มเจริญ

Blue Jay

เธอจ๊ะ

Blue Jay เป็นหนังรัก ออกฉายเมื่อสองปีมาแล้ว ฉันเพิ่งได้มาดูใน NetFlix มันเป็นหนังรักดีๆ เรื่องหนึ่งเลย พลาดไปเสียดายแย่

Alex Lehmann เป็นผู้กำกับการแสดง แล้วก็เป็นตากล้องเองด้วย เดิมแกเป็นตากล้องมาก่อนไง ส่วนบทภาพยนตร์นั้นเล่าเขียนโดยพระเอกของเรานั่นเอง

เรื่องนี้มีนักแสดงหลักๆ กันนับได้สองคน Mark Duplass และ Sarah Paulson สองนักแสดงนี้เราคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งจากในหนังและจากโทรทัศน์

พี่มาร์กนี้เป็นทั้งนักแสดง ผู้กำกับฯ และโปรดิวเซอร์ ประวัติผลงานแกยาวเหยียดทั้งทางภาพยนตร์และทางโทรทัศน์

เรื่อง Blue Jay นี้ก็เหมือนกัน แกทำทั้งสามหน้าที่เลย พี่มาร์กไม่สนใจบริษัทผู้สร้างใหญ่ๆ เป็นทุนเดิม พอมีเน็ตฟลิกซ์เข้ามาแกก็ยินดีร่วมงานด้วยเลย

หนังเรื่องนี้เขาตั้งใจถ่ายทำมาเป็นขาว-ดำทั้งเรื่อง เหตุผลคือ เขาอยากให้ผู้ชมสนใจตัวละครให้มาก

ตอนฉันดูนะ สักห้านาทีแรกฉันรู้สึกเหมือนจอโทรทัศน์เสีย

ผ่านไปสักพักใหญ่แล้ว สมองถึงยอมรับว่ามันเป็นสิ่งปกติ มันเป็นสไตล์ มันเป็นเรื่องรสนิยม

เหมือนวันก่อนฉันไปดูหนัง Loving Vincent ที่โรงหนังลิโด้ สยามสแควร์ เรื่องนั้นสร้างโดยการเอาภาพวาดมา animate เขาใช้ภาพสีน้ำมันที่วาดขึ้นมาใหม่ทั้งหมดจำนวน 65,000 เฟรมเจียวนะนั่น

ทำเอาฉันเวียนหัวอยู่ช่วง 10-15 นาทีแรกของการชมเจียวแหละ

เรื่อง Blue Jay ก็เริ่มที่จิมและอแมนด้ามาเจอกันโดยไม่คาดฝันที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในแถวบ้านที่เคยอยู่สมัยเด็กๆ สักแห่งหนึ่งในหนัง เราจะรู้ว่าเขาจากกันไป ไม่ได้พบเจอกันมาตั้ง 24 ปีแล้ว เขาเป็นแฟนกันรักกันจี๋จ๋าสมัยมัธยม ที่ฝาหรั่งเรียก high school sweethearts

I”m here to see my sister.

ฉันมาเยี่ยมน้องสาว

น้องสาวของอแมนด้ากำลังท้อง พี่เลยมาเยี่ยมเยียนดูแล ส่วนจิมนั้น…

We”ve been clearing out

her house a little bit

and I think I would

have fix it up and…

Maybe sell it, so…

เรามาเคลียร์บ้านนิดหน่อย

ผมว่าจะซ่อมก่อน

แล้วก็ว่าจะขาย…

แม่ตาย เลยต้องกลับมาจัดการเรื่องบ้านเรื่องทรัพย์สินของแม่

สองคนอึกอักลักลั่น ทักทายกันสบายดีหรือเปล่าซ้ำไปซ้ำมากันอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ต่างแยกย้ายไปจับจ่ายใช้สอย จะพูดอะไรได้ ก็มันตกใจ

แต่ปะเหมาะ เพราะจอดรถใกล้กันที่ลานจอดรถ การเจอหน้ากันครั้งที่สองจึงบังเกิด พี่จิมจึงรวบรวมความกล้าชวนอแมนด้าไปกินกาแฟ อแมนด้าก็ตกลงสิ เดินไปกินกาแฟที่ร้านกาแฟชื่อ Blue Jay ชื่อเดียวกับหนัง คงเพราะเป็นที่ที่สองคนได้เริ่มต้นคุยกันในวันนี้

กาแฟไม่อร่อยเลย จนสองคนต้องขำออกมา

The Blue Jay has gone down the hill.

ร้านบลูเจย์แย่ลงเรื่อยๆ

go down the hill เป็นสำนวน หมายถึง แย่ลง เลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง

แม้กาแฟจะไม่อร่อยเลย แต่ไม่มีใครอยากปลีกตัวไปจากการสนทนานี้ เพราะสองคนนี้หนอ เรียนมัธยมมาด้วยกัน รักกัน เป็นแฟนกัน แต่ไม่ลงเอยด้วยกัน จากกันไป แบบไม่มีการติดต่อใดๆ กันอีกเลย การได้พบเจอโดยบังเอิญ มันดี

เลยได้ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน ได้ความว่า พี่จิมยังไม่ได้แต่งงาน

Married to the work.

แต่งกับงาน

เป็นคำตอบเก๋ๆ! เวลาใครถามว่าทำไมถึงไม่แต่งงาน?

ไม่รู้จะตอบยังไงนะ เป็นคนรักสบายมากถึงสบายที่สุด เหตุผลนี้ฉันว่าเข้าใจได้ ก็แต่งงานมันต้องอดทนต้องเสียสละนะ

ฉันก็อยู่มาปูนนี้ เพื่อนพ้องน้องพี่ที่ออกเรือนไป ไม่เห็นมีใครแต่งงานแล้วไม่ต้องอดทนและเสียสละ, เว้นแต่จะเจอพวกที่แต่งงานแล้วชอบดูหมิ่นดูแคลนผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ก็จะอารมณ์เสียและปากพลอยจะเสียตามไปติดๆ ฉันจะตอบว่า ถ้าแต่งแล้วกลายเป็นคนอย่างเธอ ฉันอยู่อย่างนี้ก็เรียกว่าบุญโข

พี่จิมไม่ได้แต่งงาน ย้ายไปเมืองอื่น ไปทำงานกับลุง รับซ่อมบ้าน

ส่วนอแมนด้าแต่งงานแล้ว สามีชื่อคริส เขามีลูกติดมาสองคน แต่งงานปุ๊บเลยได้เป็นแม่คนปั๊บเลย

He”s a really incredibly supportive,

very nurturing, wonderful guy.

เขาให้กำลังใจดีมาก

ดูแล เป็นคนดี

นี่ก็เป็นคำตอบเก๋ๆ! คือเวลาคนเราตอบดีขนาดนี้ มันดีเกินไง เรียกว่า ดีไปจนน่าสงสัย แต่สองคนก็ไม่ได้ถามรายละเอียด

สองคนก็พากันเดินชมเมือง รำลึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังกัน

ผ่านร้านของชำ ที่เคยมาซื้อเบียร์ซื้อเจลลี่บีนกินกัน คุณลุงคนขายคนนั้นก็ยังอยู่เหมือนเดิม

You want to put a wager on it?

เอาเงินมาวางเลย?

wager หมายถึง เงินที่เราเอามาพนันเวลาจะทายว่าอะไรจะเกิดขึ้นกัน

อันนี้อแมนด้าเขาทายว่าคุณลุงที่อยู่ในร้านเป็นคุณลุงคนขายคนเดิม แต่พี่จิมแกว่าไม่ใช่

อแมนด้าให้พี่จิมพาไปเที่ยวบ้าน ได้รื้อข้าวรื้อของเก่าๆ สมัยมัธยมออกมาดู ได้เล่นบทบาทสมมติเป็นคู่แต่งงานกัน ได้รื้อข้าวของของแม่พี่จิมออกมาขำกัน พูดคุยกันสัพเพเหระ

จากสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ของสองนักแสดง พูดถึงเรื่อง improvisation คือให้นักแสดงแต่งเติมเสริมบทเองได้ ท้าทายนักแสดง เพราะนอกจากจะยากที่ต้องคิดหาคำมาพูดเองให้เข้ากับแคแร็กเตอร์และการดำเนินเรื่อง ยังต้องดูจังหวะดีๆ ด้วย ต้องพูดไม่ให้ทับกัน เพราะคนดูจะฟังไม่เข้าใจ

คุยกันไปมานานเข้า อแมนด้าเริ่มจับได้ว่าพี่จิมมีอะไรซ่อนไว้ในใจ ก็คนเคยรักกันมาตั้งนานนี่นะ เขาก็จับพิรุธกันได้ไม่ยากดอก พี่จิมเลยโมโหกลบเกลื่อน

Why you grilling me right now?

เธอจะมาซักไซ้ไล่ต้อนอะไรผมตอนนี้เนี่ย?

grill ปกติแปลว่าปิ้งย่าง แต่พอใช้กับคน หมายถึง ถามคำถามไปเยอะๆ แล้วก็ใช้เวลานานๆ หรือก็คือซักไซ้ หรือชำระความก็ได้

I lost my job!

I had a falling-out with my uncle.

ผมตกงาน

ผมมีปากเสียงกับลุง แตกหักกันแล้ว

a falling-out หมายถึง การที่เราไปทะเลาะ ไปมีปากเสียงกับใครสักคนแล้วก็เลิกดีต่อกันไปเลย เลิกเป็นเพื่อนกันไปเลย อะไรแบบนั้นเลย

แล้วพี่จิมก็พรั่งพรูออกมา อารมณ์และคำพูด พี่จิมไม่ได้ทำแค่ทะเลาะกับลุง แต่มีการใช้กำลัง พูดไปน้ำตาก็ไหลไป, ชอบพระเอกเรื่องนี้ ร้องไห้อยู่บ่อยๆ ไม่ได้สะอึกสะอื้น แต่น้ำตาไหลง่ายดีจังเลย น่าเอ็นดู

“My face leaks.” พี่จิมแกชอบพูดเวลาน้ำตาแกไหล ฟังประหลาด เคยได้ยินแต่ Water was leaking from the pipe. หรือไม่ก็ The roof is leaking.

แล้วก็ถึงคราวอแมนด้า

There”s nothing wrong with my life.

I should be happy. But there”s this… sadness…

ชีวิตฉันไม่ผิดปกติอะไร

ฉันควรจะมีความสุข แต่มัน…เศร้า

อ้าว! หมดกัน!! ชีวิตของสองเราไม่ได้เป็นอย่างที่เล่าไว้ในตอนแรก ได้ตกใจใส่กัน

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากตอนกลางวันไปจนรุ่งเช้าเท่านั้นเอง เวลาถ่ายทำก็ใช้ไปแค่ 7 วัน ได้หนังยาว 80 นาทีกำลังดีกำลังเหมาะ ภาพขาว-ดำก็แสนงาม หนังรักโรแมนติก มีขำๆ นิดๆ ชอบจังเลย

ฉันเอง