นงนุช สิงหเดชะ / ระวัง “เสียของ” เพราะ “นาฬิกา”

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

ระวัง “เสียของ” เพราะ “นาฬิกา”

กลายเป็นว่าประเด็นที่จะทำให้รัฐบาลนี้เสียรังวัด เสียคะแนนนิยมมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องภายนอก แต่คือ “สนิมที่เกิดแต่เนื้อในตน” อันเนื่องมาจากเรื่องนาฬิการาคาแพงมหาศาล จำนวนกว่า 20 เรือน ราคาเฉลี่ยต่อเรือนก็น่าจะเกิน 1 ล้านบาท ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งจนถึงบัดนี้ไม่สามารถชี้แจงให้กระจ่างต่อสาธารณชนได้

ที่สำคัญขัดต่อภาพลักษณ์และนโยบายของรัฐบาลที่เน้นเรื่องความประหยัดพอเพียง โปร่งใส

ภริยาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อุตส่าห์ทำตัวเป็นแบบอย่าง ใช้กระเป๋าถือของศูนย์ศิลปาชีพ ไม่ใช้ของแพงเกินเหตุหรือมากเกินเหตุ ฝ่ายตรงข้ามมากล่าวหาว่าถือกระเป๋าแอร์เมสราคาหลายล้านบาท ก็โค่นไม่ลง

ถือเป็นหลังบ้านที่ประคองส่งเสริมสามีได้เป็นอย่างดี ไม่ตกเป็นเป้าให้ใครไล่ถลุงถึงตัวนายกฯ

แต่ดูเหมือนกรณีของ พล.อ.ประวิตร กลายเป็นระเบิดเวลาที่อาจจะทำให้รัฐนาวาพังลงได้อย่างง่ายดาย แต่เชื่อว่าความเป็นพี่ใหญ่ก็คงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่กล้าใช้ความเด็ดขาดจัดการปัญหา กลายเป็นเรื่องกลืนไม่เข้า คายไม่ออก

จากนี้ไปจะไปสั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชาและข้าราชการให้ประหยัดพอเพียง หรือจะมาพูดถึงการปราบคอร์รัปชั่นก็คงพูดได้ไม่ถนัดปาก

เพราะใครที่ได้ยิน ก็คงนึกเถียงในใจว่าคนในรัฐบาลตัวเองยังจัดการไม่ได้ จะมาเที่ยวสั่งหรือให้นโยบายคนอื่นได้อย่างไร

ปัญหานาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร ทำให้หลายเรื่องที่รัฐบาลนี้ทำสำเร็จ ทั้งเศรษฐกิจที่กำลังไปได้ดี ส่งออกที่ทำได้มากที่สุดในรอบ 6 ปี การสามารถปลดธงแดงอุตสาหกรรมการบินของไทย การถูกเลื่อนอันดับพรวดพราดขึ้นมาหลายอันดับในฐานะประเทศที่ทำธุรกิจสะดวก ฯลฯ ถูกกลบหรือถูกตัดแต้มด้วยปัญหานาฬิกาเจ้ากรรม

เรียกว่ารัฐมนตรีคนอื่นๆ ทำงานเหนื่อยแทบตายเพื่อสร้างภาพบวกและคะแนนนิยมให้รัฐบาล

แต่ปัญหานาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร แค่เรื่องเดียว แทบจะทำให้ศรัทธาและความนิยมใน พล.อ.ประยุทธ์ หมดไปอย่างรวดเร็ว

ซึ่งไม่เป็นผลดีนักในช่วงที่ใกล้เลือกตั้งเช่นนี้

เพราะเท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถตุนคะแนนนิยมไปจนถึงวันเลือกตั้งได้ ซึ่งถึงแม้นายกฯ จะไม่คิดสืบทอดอำนาจ แต่หากเคลียร์ปมนี้ได้ไม่ดี

จะทำให้เกียรติประวัติตอนลงจากอำนาจไม่สง่างาม

อันที่จริง พล.อ.ประวิตร นับว่าเป็น “จุดอ่อนสะสมเรื้อรัง” ทั้งเรื่องที่ปล่อยให้ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนีอย่างไม่น่าเป็นไปได้ โดยคราวนั้นดูเหมือน พล.อ.ประวิตรแสดงความดีใจเมื่อทราบข่าวว่าคุณยิ่งลักษณ์หนีไปดูไบแล้ว

ต่อมาก็เป็นเรื่องการพูดที่ไม่สมควร กรณี นตท.ภัคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารปี 1 ถูกรุ่นพี่ลงโทษทางวินัยโดยพลการ หรือที่เรียกว่าถูก “ซ่อม” จนเสียชีวิต แล้ว พล.อ.ประวิตร ดันไปพูดทำนองว่าการถูกซ่อมเป็นเรื่องปกติ ตัวท่านเองก็เคยโดนแต่ไม่ตาย เป็นทหารต้องเตรียมใจ ซึ่งไปซ้ำเติมครอบครัวของ นตท.ภัคพงศ์ที่เศร้าเสียใจมากอยู่แล้ว ทำให้ พล.อ.ประวิตรถูกหลายฝ่ายตำหนิ

เรื่องของ พล.อ.ประวิตร ตอนนี้เริ่มโด่งดังไกลไปทั่วโลก หลังจาก มาร์ก เคนต์ อดีตเอกอัครราชทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย ได้เขียนถึงเรื่องนี้ด้วย แม้จะไม่พูดตรงๆ แต่ก็เข้าใจได้ว่าหมายถึงใคร

มาร์ก เคนต์ เขียนว่า ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมใครบางคนต้องใส่นาฬิกาตั้ง 25 เรือน ทั้งที่มีข้อมือแค่สองข้าง และส่วนใหญ่เราก็ดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือเป็นหลัก

ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะ

1. เนื้อแท้ของ พล.อ.ประวิตร ชอบอวดรวย ต้องใส่ของแพงเพื่อโชว์คนอื่น ถึงแม้จะต้องยืมคนอื่นมาใส่ ดังนั้น จึงไม่เหมาะแต่แรกที่จะอยู่ร่วมใน ครม. ที่หัวหน้ารัฐบาลประกาศจุดยืนเรื่องความพอเพียง

2. เป็นคนไม่รู้ข้อกฎหมาย หรือไม่คิดจะใส่ใจ

3. เป็นคนไม่รอบคอบ ไม่คิดให้ละเอียดว่าตำแหน่งสถานะของตัวเองต้องวางตัวอย่างไร จึงจะไม่ตกเป็นเป้าตรวจสอบจากสื่อที่หูตาเป็นสับปะรด ทุกย่างก้าวถูกจับตาเสมอ

เป็นอะไรนักหนา ถึงจะต้องตะเกียกตะกายไปหยิบยืมนาฬิกาคนอื่น (อย่างที่อ้าง) ราคาแพงระยับ มาใส่นับ 20 เรือน เคยรู้ไหมว่าทรัพย์สินอะไรก็ตามที่ไม่ได้แจ้งไว้กับ ป.ป.ช. แล้วดันมาโผล่ให้เห็นทีหลังนั้นอาจเข้าข่ายปกปิดทรัพย์สิน หรือถึงแม้จะอ้างว่ายืมมา ก็อาจโดนข้อหารับของที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาทอีก

กรณีเป็นการยืมเพื่อนจริง หากถูกสอบสวน ก็จะทำเพื่อนเดือดร้อนอีกเนื่องจากจะต้องถูกขุดคุ้ย ถูกซักถาม ต้องวิ่งหาหลักฐานมาแสดง

ถ้าเปรียบ พล.อ.ประวิตร เป็นพลทหารที่กำลังอยู่ในสนามรบ ก็คงเป็นพลทหารที่เฟอะฟะ ไม่ระมัดระวังแล้วไปเหยียบกับระเบิดที่อาจทำให้เพื่อนๆ ตายหมู่ได้

ช่วงที่มีข่าวเรื่องนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง พล.อ.ประยุทธ์ ได้เขียนจดหมายด้วยลายมือแจกจ่ายให้กับคณะรัฐมนตรี โดยเนื้อหาตอนหนึ่งกำชับให้เร่งทำงานเพราะขณะนี้มีสื่อบางแห่งและซีกการเมืองพยายามจะล้มรัฐบาล

อันที่จริงการจ้องล้มรัฐบาลโดยการเมืองฝ่ายตรงข้ามและสื่อ มีมาทุกยุคทุกสมัย เป็นเรื่องปกติ ถ้ามีประเด็นให้เขาโจมตีได้และเราเองชี้แจงได้ไม่เคลียร์ก็ย่อมตกเป็นรอง เพราะกระแสสังคมจะเห็นด้วยกับฝ่ายที่โจมตี ยุคคุณทักษิณก็ถูกโค่นล้มโดยสื่อและกระแสสังคม รวมถึงการเมืองฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน

ดังนั้น หากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ตระหนักในข้อเท็จจริงนี้ มีหนทางเดียวที่จะรักษาศรัทธาไว้ได้คือต้องไม่ให้มีจุดด่างพร้อยใหญ่ที่จะนำไปสู่การปลุกกระแสโค่นล้ม และเมื่อเกิดจุดด่างพร้อยขึ้นแล้วก็ต้องรีบขจัดให้หมดไปโดยไวอย่างโปร่งใส ไม่เช่นนั้น การรัฐประหารที่ผ่านมาก็คง “เสียของ” จริงๆ จังๆ

แต่ว่าก็น่าห่วงว่านายกฯ จะจัดการปัญหานี้ไม่ได้สะเด็ดน้ำ เพราะยังออกมาพูดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของ พล.อ.ประวิตร ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแน่ๆ แต่คือเรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย เสี่ยงต่อความศรัทธาไว้วางใจของสาธารณชน