ผ่าเส้นทางทรหดทัพ “ช้างศึก” สู่ความฝันไปบอลโลก 2018

เขย่าสนาม

เมอร์คิวรี่ [email protected]

ขุนพลนักเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย เดินทางผ่านก้าวแรกในการทำศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย ซึ่งแม้จะประเดิมสนามนัดแรกบุกพ่าย ซาอุดีอาระเบีย 0-1 และเปิดสนามราชมังคลากีฬาสถาน ทำศึกหนักกับ ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา

แต่ถือว่าแข้งไทยโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจ

การเตรียมทีมชาติไทยภายใต้การบริหารงานของ “บิ๊กอ๊อด” “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ถือว่าได้วางแผนกันอย่างถี่ถ้วน ทั้งการบริหารจัดการภายนอกสนามในเรื่องการอำนวยความสะดวกให้กับนักเตะ ซึ่งมี “เสี่ยขจร” “ขจร เจียรวนนท์” เป็นผู้จัดการทีมก็นับว่าครบถ้วนทั้งด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา และด้านโภชนาการระดับโลก

ทีมชาติไทยได้เดินทางไปเก็บตัวฝึกซ้อมที่ประเทศกาตาร์ ซึ่งเป็นประเทศตะวันออกกลางเช่นเดียวกับซาอุดีอาระเบีย เพื่อปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับท้องถิ่นถึง 10 วัน

พร้อมมีเกมอุ่นเครื่องกับกาตาร์ให้ได้เรียนรู้สไตล์แข้งอาหรับ เพื่อเตรียมพร้อมก่อนประเดิมศึกแรกกับซาอุดีอาระเบีย

ทำให้สภาพทีมค่อนข้างพร้อม และฮึกเหิมมาก

ขณะที่การบริหารจัดการในสนามด้านเทคนิคนั้น “โค้ชเฮง” “วิทยา เลาหกุล” ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค ได้วางแผนทางการเล่นร่วมกับ “โค้ชซิโก้” “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” หัวหน้าผู้ฝึกสอน

ซึ่งโค้ชเฮงไม่ลงไปก้าวก่ายแท็กติกของโค้ชซิโก้ และประสานงานกันได้ลงตัว จนช่วยให้นักเตะไทยเข้าใจในแท็กติก “ไทยแลนด์ สไตล์” ซึ่งมีรูปแบบวิ่งสู้ฟัดตลอดทั้งเกมแม้จะเป็นรองก็ตาม

จากผลงานนัดแรกแม้ทีมชาติไทยบุกพ่าย 0-1 ซึ่งประตูชัยของเศรษฐีน้ำมันก็มาจากจุดโทษในช่วงท้ายเกมที่ “ฟู หมิง” ผู้ตัดตัดสินชาวจีนชี้ให้เจ้าถิ่นอย่างน่ากังขา ทั้งๆ ที่ทีมไทยก็ควรจะได้จุดโทษเช่นกันตั้งแต่ช่วงต้นเกม อีกทั้งหลังจบเกม “สารัช อยู่เย็น” ยังโดนใบเหลืองสองเป็นใบแดงไล่ออกจากสนามอีกด้วย แต่ถือเป็นความพ่ายแพ้ที่ชนะใจแฟนบอลชาวไทยทั้งประเทศ

โดยรวมแล้วตลอดทั้งเกม นักเตะไทยเปิดเกมสู้แลกกับซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นทีมชั้นนำเอเชีย และเคยผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกถึง 4 สมัยได้อย่างสูสี และน่าประทับใจ

รวมถึงในนัดสองก็ต่อกรกับญี่ปุ่น ซึ่งไปฟุตบอลโลก 5 สมัยหลังสุดได้อย่างไม่เกรงกลัว จึงแสดงให้เห็นว่าทีมไทยได้ก้าวผ่านอาเซียนขึ้นมาอยู่ในเวทีระดับเอเชียได้อย่างเต็มภาคภูมิ

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ทีมชาติไทยยังต้องเจอกับเส้นทางแสนทรหดในการทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก

โดยเหลือเส้นทางอีก 8 นัด ประกอบด้วย บุกเยือน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) วันที่ 6 ตุลาคม 2559, บุกเยือน อิรัก (สนามกลางที่ประเทศอิหร่าน) วันที่ 11 ตุลาคม 2559 ก่อนปิดท้ายปีนี้ เปิดบ้านพบ ออสเตรเลีย วันที่ 15 พฤศจิกายน 2559

จากนั้นในปีหน้าทัพช้างศึกมีคิวเปิดบ้านพบ ซาอุดีอาระเบีย วันที่ 23 มีนาคม 2560, บุกเยือน ญี่ปุ่น วันที่ 28 มีนาคม 2560, เปิดบ้านพบ ยูเออี 13 มิถุนายน 2560, เปิดบ้านพบ อิรัก วันที่ 31 สิงหาคม 2060 ก่อนปิดท้ายด้วยด้วยการบุกไปเยือน ออสเตรเลีย วันที่ 5 กันยายน 2560

เมื่อมองจากเส้นทาง 8 นัดที่เหลืออยู่ สามารถแบ่งได้ออกเป็น 5 ช่วง โดยในช่วงแรกคือ สองนัดที่บุกทีมไทยต้องบุกเยือนติดต่อกันกับยูเออี และอิรัก, ช่วงสอง เปิดบ้านเตะส่งท้ายปีกับออสเตรเลีย, ช่วงสาม เตะในบ้านกับซาอุดีอาระเบีย และเยือนญี่ปุ่น, ช่วงสี่ เปิดรังพบยูเออี และช่วงห้าคือ สองนัดสุดท้ายทั้งเกมในบ้านกับอิรัก และเยือนออสเตรเลียปิดท้าย

สำหรับการเตรียมทีมคงต้องวางแผนกันตาม 5 ช่วงดังกล่าวนี้ โดยช่วงแรกกับการบุกเยือนทีมอาหรับถึง 2 นัดติดควรจะวางแผนไปเก็บตัวดินแดนตะวันออกกลาง พร้อมหาทีมอุ่นเครื่องให้กับนักเตะไทยได้เรียนรู้สไตล์ จากนั้นช่วงสอง เกมในบ้านกับแข้งออสซี่ที่รูปร่างสูงใหญ่ก็ต้องหาเกมลับแข้งกับทีมยุโรป เพื่อให้แข้งไทยได้มีประสบการณ์คุ้นเคยกับความสูงใหญ่เตรียมพร้อมด้วย

การเตรียมทีมช่วงสามในการเจอกับซาอุดีอาระเบีย และเยือนญี่ปุ่นนั้น เราได้บทเรียนจากนัดแรกมาแล้ว และคงต้องนำมาปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่องจากเกมแรก

ถัดมาช่วงสี่เป็นเกมนัดเดียวกับยูเออีคงต้องทุ่มเทสุดพลังเพื่อเก็บแต้มให้ได้

และช่วงสุดท้ายกับอิรัก ก่อนเยือนออสเตรเลียคงต้องวางแผนเตรียมทัพกันให้ละเอียดยิ่งขึ้น

แต่นอกเหนือจากโปรแกรมฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกแล้ว ทีมชาติไทยยังมีคิวป้องกันแชมป์อาเซียนในรายการ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016” ระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน-17 ธันวาคมนี้ด้วย รวมถึงโปรแกรมฟุตบอลลีกไทยที่อาจส่งผลต่อสภาพร่างกายของนักเตะ ดังนั้น จะต้องมีการวางแผนบริหารจัดการกันอย่างลงตัวมากที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเตะทีมชาติไทยตัวหลักของชุดนี้ส่วนใหญ่มาจากสโมสร “กิเลนผยอง” “เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด” ทั้ง “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน, “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา, “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์, “ตังค์” สารัช อยู่เย็น, “ตั้ม” ธนบูรณ์ เกษารัตน์ และ “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ซึ่งแน่นอนว่า “กิเลนโมเดล” จะช่วยให้ทีมชาติไทยมีการเล่นที่เข้าขารู้ใจ เพราะเล่นด้วยกันมาโดยตลอด

แต่ในทางกลับกันหากนักเตะเหล่านี้กรำศึกหนักก็จะทำให้สภาพร่างกายอ่อนล้าไปโดยปริยาย ดังนั้น ทั้งโค้ชซิโก้ในฐานะกุนซือทีมชาติไทย และ “โค้ชแบน” “ธชตวัน ศรีปาน” เฮดโค้ชทีมเมืองทองจะต้องมีการหารือกัน เพื่อให้นักเตะแกนหลักเหล่านี้มีสภาพร่างกายที่พร้อมต่อการทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก รวมทั้งสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ก็จะต้องร่วมวางแผนให้พร้อมในทุกด้าน

“พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ระบุว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จะให้การสนับสนุนทีมชาติไทยอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างฝันให้เป็นจริงในการผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2018 ให้ได้ โดยอีก 2 นัดต่อไปที่จะไปเยือนยูเออี และอิรักนั้น สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ มีหน้าที่ให้การสนับสนุนในทุกด้าน แต่ก็จะไม่กดดันนักเตะแต่อย่างใด

“ผมไปเยี่ยมชมการฝึกซ้อม บอกเพียงว่าน้องๆ อยากเป็นนักเตะทีมชาติไทยชุดแรกที่ได้ไปฟุตบอลโลกหรือไม่ และต้องการการสนับสนุนในด้านใดให้บอกมา แต่ไม่ก้าวก่ายการทำทีมของโค้ชแน่นอน”

นายกสมาคมลูกหนังไทยกล่าว

สําหรับโควต้าฟุตบอลโลก 4 ทีมครึ่งสำหรับทวีปเอเชียนั้น คงเป็นงานหนักของทีมชาติไทยในการคว้าที่นั่ง 4 ทีมแรก เพราะนั่นหมายถึงว่าเราจะต้องทำผลงานในรอบ 12 ทีมสุดท้ายนี้ด้วยการคว้าอันดับ 1 หรืออันดับ 2 ของกลุ่มเท่านั้น แต่หากมองถึงอันดับ 3 ของกลุ่ม และไปลุ้นลงเตะเพลย์ออฟ เพื่อชิงตั๋วเวิลด์คัพนั้นก็คงพอจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ให้เห็นอยู่บ้าง

หลายคนบอกว่าทีมชาติไทยชุดนี้มีเป้าหมายที่แท้จริงไปฟุตบอลโลกในปี 2022 ที่ประเทศกาตาร์ แต่เราจะต้องรออีกนานถึง 6 ปีเลยหรือกว่าจะได้ไปฟุตบอลโลก เพราะในเมื่อโอกาสไปฟุตบอลโลกอีกเพียง 2 ปีข้างหน้านี้ได้เข้ามาอยู่ใกล้มือแล้ว

หากทีมชาติไทยมีการเตรียมทีมที่ดี และทุกฝ่ายให้ความร่วมมือกันทั้งสมาคม, สโมสร และแฟนบอลทั้งประเทศ เชื่อว่าเป้าหมายการไปฟุตบอลโลก 2018 ไม่น่าจะไกลเกินเอื้อม และเราคงไม่ต้องรอคอยไปนานกว่านี้…