นงนุช สิงหเดชะ / “ง่วง-ป่วย-แก่” แล้วขับ

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

“ง่วง-ป่วย-แก่” แล้วขับ

สถิติที่ประเทศไทยครองไว้อย่างเหนียวแน่น คือการเป็นที่ 2 ของโลกในแง่ที่มีอัตราการตายและบาดเจ็บจากการขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนนมากที่สุดรองจากลิเบีย ทั้งที่ไทยมีระดับการพัฒนาสูงกว่าลิเบียมาก

มักกล่าวกันเสมอว่า ประเทศไหนจะมีอนาคตว่าจะยกระดับการพัฒนาไปได้เร็วแค่ไหน ให้ดูที่วินัยการขับขี่ยานพาหนะของประชาชนเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยการทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง

ถ้าเคารพกฎจราจร ทิ้งขยะเป็นที่เป็นทาง ก็สะท้อนว่าประชาชนประเทศนั้นมีวินัยและมีสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม ก็ให้ทำนายได้ว่าประเทศนั้นมีอนาคตสดใส

ยังเป็นเรื่องของไก่กับไข่ว่า อะไรทำให้คนในชาตินั้นมีวินัย การบังคับใช้กฎหมายเข้มงวด หรือว่านิสัยพื้นฐานและค่านิยมของประชาชนของประเทศนั้น

ถ้าประชาชนมีพื้นฐานนิสัยมักง่ายไร้ระเบียบวินัย ก็มีความเป็นไปได้ว่าหากเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเข้มงวดเสียแล้ว ก็จะทำให้คนชาตินั้นมีระเบียบวินัยไปเอง เมื่อชอบไม้เรียว ก็จัดไม้เรียวให้

ตัวอย่างเช่นเกาหลีใต้นั้น กฎหมายค่อนข้างแรง และมีกล้องวงจรปิดสอดส่องทุกซอกมุม ก็อาจจะเป็นเหตุให้คนไม่กล้าฝ่าฝืนกฎหมาย แม้จะเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่กฎหมายหลายอย่างโหดไม่แพ้ประเทศเผด็จการ

และดูเหมือนประชาชนของพวกเขาจะเต็มใจพร้อมกันยอมทำตามกฎหมายที่รัฐบาลออกมาบังคับใช้ตราบเท่าที่เห็นว่าดีต่อส่วนรวม

ซึ่งทัศนคติเช่นนี้มีรากฐานมาแต่เริ่มแรกที่คนเกาหลีใต้เชื่อว่าสามัคคีคือพลัง เพราะเกาหลีใต้ถูกชาติอื่นเช่นญี่ปุ่นยึดครองมาก่อน ความเจ็บช้ำน้ำใจมีมาก จึงยึดมั่นในเรื่องความสามัคคี เชื่อฟังในผู้นำและชาตินิยม เพราะเห็นว่าเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ชาติได้รับอิสรภาพและก้าวหน้า

สำหรับประเทศไทยนั้น อ่อนด้อยทั้งสองอย่าง คือคนจำนวนมากขาดไร้ระเบียบวินัยและจิตสำนึกต่อส่วนรวม แม้จะมีการรณรงค์ พูดกันปากเปียกปากแฉะ แต่แรงดึงดูดด้านลบมีพลังมากกว่า

ส่วนการบังคับใช้กฎหมายนั้นก็หย่อนยานพอกันเพราะมักอะลุ้มอล่วย หยวนๆ กันพร่ำเพรื่อ แถมบางทีก็มีปัญหาเรียกสินบนเข้ามาเกี่ยวข้อง

เมื่อพลังด้านลบของคนจำนวนมาก มาบวกกับการหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมาย จึงเกิดเป็นมหาพายุแห่งความเลวร้าย จนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่ 2 ของโลกในการเสียชีวิตและบาดเจ็บบนท้องถนน

ข่าวคราวการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เพราะนิสัยและค่านิยมที่แย่ ขาดการเคารพกฎจราจรและขาดจิตสำนึกในการขับรถ กลายเป็นสิ่งคุ้นตาที่น่ารำคาญและน่าสิ้นหวังในประเทศไทย

เมื่อก่อนปัญหาเมาแล้วขับเป็นปัญหาใหญ่ แต่หลังจากออกกฎหมายเข้มงวด ปัญหาเมาแล้วขับก็ลดลงบ้าง แต่ปัญหาใหญ่พอๆ กันก็โผล่ขึ้นมา คือพวกง่วงแล้วขับ พวกแก่มากแล้วขับ พวกป่วยแล้วยังดันทุรังขับ โดยไม่คิดจะรับผิดชอบต่อชีวิตของคนอื่น

พวกง่วงแล้วขับ ทำให้ครอบครัวชาวญี่ปุ่น 4 คนเสียชีวิตที่บางปะอิน พร้อมไกด์หญิงชาวไทย รวมเป็น 5 คนเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งในจำนวนชาวญี่ปุ่น 4 คนนั้น 2 คนเป็นแพทย์มือดีของญี่ปุ่น จึงนับเป็นการสูญเสียบุคลากรสำคัญ

เมื่อสอบสวนคนขับรถสารภาพว่าหลับในจึงเสยท้ายรถบรรทุกที่จอดอยู่ข้างทาง โดยให้การว่าคืนก่อนหน้านั้นได้นอนตอนเที่ยงคืนและต้องตื่นตี 4 เพื่อรับนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นดังกล่าวที่สนามบินสุวรรณภูมิ ไปท่องเที่ยวอยุธยา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยควรดำเนินการต่อคือ เรื่องคนขับรถที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ถือเป็นความผิดของใคร ความผิดของเจ้าของบริษัทที่ให้บริการทัวร์ที่ให้คนขับรถทำงานล่วงเวลามากเกินไป หรือเป็นที่ตัวคนขับรถเองที่ไม่ยอมนอนให้เพียงพอก่อนออกทำหน้าที่ เพราะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น เช่น ดื่ม สังสรรค์จนดึก

ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของบ้านเราคือไม่เข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายเรื่องระยะเวลาการทำงานของคนขับรถ ขณะที่ประเทศอื่นจะเข้มงวดมาก นี่คืออีกปัญหาหนึ่งของภาคท่องเที่ยวไทยที่แก้ไม่ได้

ส่วนพวกป่วยแล้วขับ ก็เห็นได้จากลุงเชียงใหม่วัย 60 ปี นามสกุลดัง ที่นำไม้เท้าไปฟาดรถคันอื่นที่มีเด็กเล็กและผู้หญิงท้องอยู่ในรถด้วยเพราะไม่พอใจที่ถูกบีบแตรเตือน เนื่องจากตัวเองขับรถเปลี่ยนเลนไปตัดหน้ารถทางตรงกะทันหันแล้วถูกอีกฝ่ายบีบแตรใส่

ปกติคนเราทำผิดควรจะเป็นฝ่ายขอโทษ ถ้าไม่ขอโทษก็ขับรถหนีไป แต่ลุงคนนี้นอกจากไม่สำนึกว่าตัวเองขับรถไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนอื่นแล้ว เมื่อถูกคนอื่นตำหนิกลับไม่พอใจ แถมยังจะเอาเรื่องคนที่เป็นฝ่ายถูก ซึ่งอาการแบบนี้พบเห็นได้จากนักขับรถในเมืองไทยจำนวนไม่น้อย

บางทีน่าคิดว่าพวกนี้สอบใบขับขี่ผ่านมาได้อย่างไร เพราะดูเหมือนไม่รู้กฎจราจรเลย ใครทางเอกทางโท รถทางไหนมีสิทธิไปก่อนไปหลังไม่เคยรู้ มีแต่ฉันที่ขอไปก่อนลูกเดียว

ลุงอ้างว่าเคยป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองแตก จึงเกิดปัญหาควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แถมอ้างว่าตอนกระทำไปนั้นไม่รู้ตัวเลย ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะไม่รู้ตัว เพราะมีขั้นตอนในการลงมือ คือเปิดประตูด้านคนขับลงมาหาคู่กรณี เสร็จแล้วเดินกลับไปคว้าไม้เท้าในรถและเดินไปหารถเป้าหมายอีกครั้งก่อนฟาดไปหลายทีจนกระจกแตก

ถ้าสมมุติว่าลุงคนนี้ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปจริงอย่างที่อ้าง ความน่ากลัวกว่านั้นก็คือตอนกำลังขับรถนั้น ลุงรู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าไม่รู้ตัวก็แปลว่ารถที่ลุงกำลังขับอยู่พร้อมจะกลายเป็นเครื่องมือฆ่าคนดีๆ นี่เอง แล้วเราจะยังปล่อยให้คนประเภทนี้มาเพ่นพ่านอยู่บนท้องถนนหรือ

คดีนี้ไม่ควรจบลงที่ชดใช้ค่าเสียหายแล้วจบกัน แต่ควรถูกดำเนินคดีอาญาและควรเพิกถอนใบขับขี่ตลอดไป ตำรวจเองก็อย่ามากล่อมให้ผู้เสียหายหยวนๆ ยอมความแล้วเลิกแล้วต่อกัน

ส่วนพวกแก่แล้วขับ ก็อันตรายพอๆ กัน เพราะอย่างแรกเลยคือหลงลืม เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาแทนที่จะเหยียบเบรก กลับไปเหยียบคันเร่ง หรือถึงแม้จะไม่ได้เหยียบผิด แต่แรงที่จะเหยียบไปบนเบรกนั้นไม่เพียงพอตามสภาพคนแก่ ก็มีความเสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุได้ ส่วนสายตาก็ไม่ดี ดังนั้น การตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ จึงไม่แม่นยำและล่าช้า

ล่าสุดนี้เห็นว่าตำรวจจะเสนอให้มีการห้ามพวกที่ป่วย แก่และง่วง ไม่ให้ขับรถ ซึ่งก็ยังต้องลุ้นว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน เพราะคนในประเทศนี้คงต้องอ้างสิทธิขั้นพื้นฐานของตัวเองก่อน ส่วนสิทธิความปลอดภัยในชีวิตของคนอื่นต้องมาทีหลัง

แต่การดำเนินการนี้ช้าไป เพราะกรณีของคนป่วยแล้วขับ เช่น พวกโรคลมชัก เคยก่ออุบัติเหตุหลายครั้งแล้ว แต่ทำไมยังไม่มีการออกกฎหมายห้าม