ดีลปล้นอำนาจประชาชน สุดอันตราย

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ครึ่งเดือนแล้วที่ชัยชนะของพรรคก้าวไกลเปลี่ยนประเทศไปอย่างสิ้นเชิง

เพราะไม่เพียงก้าวไกลจะชนะทุกพรรคทั้งจำนวน ส.ส.เขต, ส.ส.บัญชีรายชื่อ และคะแนนที่ประชาชนเลือกกว่า 14 ล้านคน

แต่ก้าวไกลยังทำให้ชัยชนะเป็นพาหนะสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างที่การเลือกตั้งควรจะเป็นจริงๆ

ตรงข้ามกับรัฐบาลอื่นที่การเมืองหลังเลือกตั้งคือการนับจำนวน ส.ส.หารด้วยเก้าอี้รัฐมนตรี และการรวมกลุ่ม ส.ส.เพื่อแย่งตำแหน่งในกระทรวงใหญ่ขึ้น

ก้าวไกลปฏิเสธระบบแบ่งเค้กรัฐบาลและเสนอข้อตกลงร่วมในการเป็นรัฐบาลซึ่งวางอยู่บนผลประโยชน์ประชาชนอย่างไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำเลย

อาจมีคนโต้แย้งว่ารัฐบาลทุกชุดก็อ้างว่าทำเพื่อประชาชน แต่ขณะที่คำว่า “ประชาชน” ของรัฐบาลอื่นมักเป็นคำพูดกว้างๆ ประเภทความอยู่ดีกินดีของประชาชน หรือความสงบสุขของประชาชน

แต่พรรคก้าวไกลทำให้คำว่า “ประชาชน” หมายถึงคนแต่ละกลุ่มที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ

MOU หรือ “ข้อตกลงร่วม” ของทุกพรรคในรัฐบาลก้าวไกลครอบคลุมชายแดนใต้, ผู้หญิง, แรงงาน, สมรสเท่าเทียม, ปฏิรูปที่ดิน, สุราก้าวหน้า ฯลฯ ซึ่งพรรคการเมืองมักแค่พูดถึงแบบกว้างๆ อย่างขอไปที

ส่วนพรรคก้าวไกลเอาจริงเรื่องแก้ปัญหาจนนำไปสู่มาตรการที่จับต้องและตรวจสอบได้จริงๆ

ไม่มีพรรคไหนที่ไม่พูดว่าเป็นรัฐบาลเพราะต้องการทำเพื่อประชาชน

แต่ก้าวไกลคือพรรคเดียวที่พูดตั้งแต่ตั้งรัฐบาลว่าผู้หญิงมีสิทธิลาคลอด 180 วัน, บรรจุลูกจ้างรายวันเป็นรายเดือน, หยุดกฎหมายความมั่นคงชายแดนใต้, ทบทวนคดีคนจนยุคทวงคืนผืนป่า ฯลฯ

ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่การพูดเลื่อนลอย

 

พรรคการเมืองและกองเชียร์บางพรรคโจมตีว่า MOU ผูกมัดพรรคอื่นเกินไป

แต่ถ้าถือว่ารัฐบาลต้องทำเพื่อประชาชน ทุกพรรคก็ต้องตระหนักว่าประชาชนไม่ได้เลือกพรรคไปทำอะไรตามใจชอบ

การผูกมัดด้วยกรอบบางอย่างเพื่อให้พรรคทำนโยบายที่เป็นประโยชน์ประชาชนจึงเป็นเรื่องธรรมดา

ตรงกันข้ามกับรัฐบาลในอดีตที่นโยบายมาจากการสุมหัวคิดของขาใหญ่ในพรรค, ลูกน้องขาใหญ่, คนนอกที่ขาใหญ่ไว้ใจ, นายทุนที่ช่วยขาใหญ่จ่าย และข้าราชการที่ขาใหญ่ถูกใจ รัฐบาลก้าวไกลทำ “ข้อตกลงร่วม” ที่หลายเรื่องมาจากข้อเรียกร้องประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นตัวตั้งอย่างชัดเจน

เมื่อเทียบกับพรรคอื่นที่โฆษณาชวนเชื่อว่าเลือกแล้วสงบหรือเลือกแล้วรวย ก้าวไกลทำให้เห็นว่าสิ่งแรกที่รัฐบาลควรทำคือการยืนยันว่าประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศจริงๆ ไม่ใช่เป็นเจ้าของประเทศแค่ช่วงเลือกตั้งถึงวันลงคะแนน จากนั้นนักการเมืองหรือทหารก็ริบอำนาจไปแทน

คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พูดถูกว่าการเซ็น MOU เป็นแค่การจับมือซึ่งอีกไกลกว่าจะได้ตั้งรัฐบาล และอำนาจอื่นคงไม่ยอมให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาลได้ง่ายๆ

แต่สิ่งที่คุณชูวิทย์ไม่เข้าใจคือวิธีตั้งรัฐบาลแบบก้าวไกลทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดยิ่งขึ้นจนใครขวางก้าวไกลย่อมเป็นฝ่ายตรงข้ามประชาชน

 

ทุกพรรคการเมืองชอบอ้างช่วงเลือกตั้งว่าอยากสร้างพรรคที่เป็นของประชาชน

แต่โดยส่วนใหญ่แล้วพรรคการเมืองล้วนเป็นของเฮีย, เจ้าสัว, เจ๊, ท่าน, น้า ฯลฯ ที่เป็นถุงเงินพรรคจนเป็นคนคุมพรรคในทางปฏิบัติว่าจะฮั้วกับใคร, ใช้เงินแค่ไหน, ร่วมมือกับใคร และจะโหวตใครเป็นรัฐบาล

“จอมขวัญ หลาวเพ็ชร” ตั้งข้อสังเกตที่แหลมคมช่วงดีเบตเลือกตั้ง 2566 ว่าสัญญาที่นักการเมืองและพรรคให้กับประชาชนหมดอายุทันทีที่การลงคะแนนเสร็จสิ้นลง

และถึงแม้จอมขวัญจะไม่พูดตรงๆ ว่าคำสัญญาเหล่านี้หายไปเหมือนผายลมด้วยปากเพราะอะไร ใครฟังก็รู้ว่าหมายถึงเรื่อง “ดีล”

นักการเมืองทั้งบุคคลและพรรคชินกับพฤติกรรม “ดีล” ผ่านวงข้าว, วงเหล้า, ประชุมกรรมาธิการ หรือแม้แต่วงไพ่

ผลก็คืออะไรที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนมักหายวับไปในทันทีที่ดีลกันจบ

เช่นเดียวกับอะไรที่เป็นผลประโยชน์ของนักการเมืองที่มักเข้ากระเป๋าทันทีที่ดีลจบด้วยเช่นกัน

คาร์ล ชมิทท์ เคยพูดในหนังสือเรื่อง “วิกฤตของประชาธิปไตยรัฐสภา” (The Crisis of Parliamentary Democracy) ซึ่งตีพิมพ์ปี 2466 ว่าระบบรัฐสภาเสื่อมสลายเพราะสภากลายเป็นเต็มไปด้วยการดีลจนประชาชนเสียหายและไม่มีการถกเถียงด้วยเหตุผล

และนั่นคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ของสภาไทย

 

พรรคคู่แข่งก้าวไกลจากทุกขั้วมักโจมตีว่าก้าวไกล “พูดไม่รู้เรื่อง” และป้ายสีว่าก้าวไกล “ทำงานยาก” โดยไม่พูดให้ครบว่าพรรคอื่นดีลไปทั่ว แต่ก้าวไกลไม่มีดีล ก้าวไกลจึงกล้าแตะเจ้าสัวพลังงาน, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, ยักษ์ใหญ่สื่อสาร, ทุนน้ำเมา ฯลฯ แบบที่พรรคอื่นทำไม่ได้และไม่มีวันทำ

สำหรับนักการเมืองที่คิดว่าการกินเหล้ากับขาใหญ่ของประเทศคือความ “เก๋าเกม” เช่นเดียวกับการดีลบ้านใหญ่, จ่ายหัวคะแนน, ซื้อสื่อ หรือตั้งเวทีปราศรัยแล้วจ่ายค่ารถให้คนมาฟัง ก้าวไกลที่มีคนเลือกกว่า 14 ล้านทั้งที่ขี่จักรยานหาเสียงคือ Disruptive Innovation ที่ทำลายทุกพรรคการเมือง

พรรคใหญ่แทบทุกพรรคไม่มีใครไม่ดีล รูปแบบการดีลมีตั้งแต่ดีลเป็นคน, ดีลเป็นเงิน, ดีลเป็นมุ้ง หรือดีลผ่านเจ้าสัวที่จ่ายให้ผู้สมัครต่างพรรคแต่พวกเดียวกัน

ก้าวไกลที่ไม่ดีลแต่ชนะถล่มทลายจึงทำให้ทุกพรรคได้ ส.ส.ต่ำกว่าเป้าจนทุกพรรคผิดแผนและทำลายทุกดีลของทุกพรรคโดยปริยาย

ชัยชนะของก้าวไกลคืออุปสรรคของขาใหญ่จากทุกขั้ว เพราะยิ่งก้าวไกลยืนยันว่าประชาชนคือผู้ทรงอำนาจสูงสุด, ประชาชนเชื่อว่าก้าวไกลคิดแบบนั้น และก้าวไกลไม่หา ส.ส.ร่วมรัฐบาลเพิ่มหลังปฏิเสธชาติพัฒนากล้า

ความรู้สึกว่าก้าวไกลเป็นคนละพวกยิ่งรุนแรงในทุกพรรคและทุกขั้วการเมือง

 

ก้าวไกลชนะเลือกตั้งถล่มทลาย แต่ทันทีที่ประชาชนทุกขั้วโหวตก้าวไกลชนะแลนด์สไลด์ใน กทม.และจังหวัดอื่นๆ กระทั่งได้คะแนนเป็นที่ 1 ของภาคใต้ การทำลายก้าวไกลคือสิ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลประยุทธ์หรือฝ่ายที่อยากเป็นรัฐบาลแทนคุณประยุทธ์เอง

เป็นเรื่องน่าอัปยศที่ กกต.ยังไม่รับรองผลเลือกตั้งทั้งที่ผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์

แต่ที่อัปยศกว่าคือข่าวพรรคนั้นพรรคนี้จับขั้วตั้งรัฐบาลแทนก้าวไกลว่อนไปหมด เหลือแค่รอให้ก้าวไกลตั้งรัฐบาลไม่ได้ทั้งที่ได้เสียง ส.ส.แล้ว 313 รวมทั้งรอให้องค์กรอิสระฟันพิธาจนก้าวไกลไม่มีแคนดิเดตนายกฯ อีกเลย

คุณเรืองไกรประกาศแล้วว่าจะใช้กรณีไอทีวีปิดฉากนายกฯ พิธาเหมือนที่ทำกับคุณสมัคร สุนทรเวช และคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และถ้าคำนึงว่าฝ่ายอำนาจเก่าใช้ “นิติสงคราม” ทำลายคุณทักษิณ ชินวัตร, คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคุณธนาธรมาแล้ว โอกาสที่หลายฝ่ายจะลงขันทางการเมืองและกฎหมายกำจัดพิธาและพรรคก้าวไกลยิ่งชัดเจน

สำหรับคนที่ต้องการทำลายประชาธิปไตย วิธีง่ายๆ ก็คือทำให้รัฐบาลก้าวไกลที่มีเสียง ส.ส.ทุกพรรครวมกัน 313 แตก จนเสียงประชาชนที่โหวตหนุนก้าวไกลและเพื่อไทยรวม 26 ล้านเสียง แยกเป็นคนละขั้ว

และบันไดขั้นแรกที่จะทำเรื่องนี้ได้คือต้องทำลายพิธาจนไม่สามารถเป็นนายกฯ ได้เลย

 

ถ้าพิธาเป็นนายกฯ ไม่ได้ การเมืองไทยก็จะกลับไปสู่วัฏจักรที่พรรคอันดับ 1 ตั้งรัฐบาลไม่ได้เหมือนปี 2562 ซึ่งจะเป็นการทำลายระบอบการปกครองโดยเสียงข้างมากทั้งหมด นายกฯ คนใหม่จะเป็นเพื่อไทยหรือใครก็จะเป็นสัญลักษณ์ของระบอบการเมืองแบบดีลที่ปฏิปักษ์ประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์

ย้ำอีกครั้งว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยยืนยันสนับสนุนก้าวไกลตั้งรัฐบาล เช่นเดียวกับหัวหน้าพรรคก้าวไกลและคุณธนาธรขอบคุณที่พรรคเพื่อไทยสนับสนุนก้าวไกลอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องย้ำอีกครั้งว่าความเคลื่อนไหวของ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ใกล้ชิดกับแกนนำพรรคล้วนเปิดศึกโจมตีกันตลอดเวลา

ชนชั้นนำทั้งที่เป็นทหารและไม่เป็นรู้ดีว่าวิธีทำลายประชาธิปไตยที่ดีที่สุดคือการ “ดีล” ด้วยอำนาจและผลประโยชน์กับนักการเมือง และถึงแม้จะเป็นความจริงว่านักการเมืองจำนวนไม่น้อยอยากได้อำนาจ แต่การได้อำนาจที่ชนชั้นนำจัดให้ทางอ้อมแบบนี้คือการล่อซื้อที่จะทำลายประชาธิปไตยเอง

ไม่มีช่วงเวลาไหนที่การรื้อฟื้นประชาธิปไตยจะสว่างไสวอย่างการเลือกตั้งที่ฝ่ายประชาธิปไตยชนะแลนด์สไลด์ 313 เสียง

แต่ก็ไม่มีเวลาไหนที่อำนาจมืดสมรู้ร่วมคิดวางแผนทำลายประชาธิปไตยด้วยการใช้ความตื้นเขินและความกระหายอำนาจของนักการเมืองบางประเภทอย่างปัจจุบัน

อย่าให้แสงสว่างแห่งความหวังสู่การสร้างประชาธิปไตยของประชาชนอวสานเพราะนักการเมืองเฮงซวยไม่กี่คน