เตรียมตัวดูประเทศเปลี่ยนครั้งใหญ่ “ยุคก้าวไกล”

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

การเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม เปลี่ยนประเทศอย่างลึกซึ้งไปตลอดกาล

เพราะพรรคการเมืองเดียวเป็นผู้ชนะที่แท้จริงในการเลือกตั้งคือก้าวไกล

ส่วนพรรคใหญ่อื่นๆ แพ้หมดรูป ตั้งแต่เพื่อไทย, พลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ, ประชาธิปัตย์, ภูมิใจไทย ฯลฯ จนไม่มีพรรคไหนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้เลย

เพื่อไทยได้ ส.ส. 141 คน ทั้งที่เคยพูดถึงการได้ ส.ส. 377 คนเพื่อตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ส่วนคนในเครือข่ายก็ดูถูกว่าพรรคอื่นไม่มีปัญญาชนะเพื่อไทย

ขณะประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. 25 หรือลดลงเท่าตัวจากปี 2562 ที่ได้ ส.ส. 58

เช่นเดียวกับภูมิใจไทยที่ได้ ส.ส.ต่ำกว่าที่คุณอนุทิน ชาญวีรกูล เคยประเมิน

ตรงข้ามกับเพื่อไทยที่เชื่อว่าคนเลือกก้าวไกลล้วนเคยเลือกเพื่อไทยจนตัดคะแนนกัน ก้าวไกลมี ส.ส.เขตมากอันดับ 1 ทั้งที่รอบที่แล้วแทบไม่เคยมี ส.ส.เขต เช่นเดียวกับได้คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อสูงมากแทบทุกเขต

นั่นเท่ากับว่าก้าวไกลแย่งคะแนนจากทุกพรรคจนมีคนโหวตทั้งประเทศ 14 ล้านคน

 

คู่แข่งก้าวไกลทุกพรรคล้วนโจมตีก้าวไกลว่าสุดโต่งเกินไป คุณเศรษฐา ทวีสิน พูดว่าจะอยู่กับทหารโดยไม่ทำแบบสุดโต่ง คุณชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ แห่งพลังประชารัฐ และคุณศุภชัย ใจสมุทร แห่งภูมิใจไทยประกาศไม่ร่วมรัฐบาลด้วย ชัยชนะของก้าวไกลจึงเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่มีพรรคไหนถูกใส่ร้ายป้ายสีว่า “สุดโต่ง” เท่าพรรคนี้เลย

คนกลุ่มเดียวที่ยืนยันว่าก้าวไกลไม่สุดโต่งคือธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ วานิช คำอธิบายของสามคนนี้คือก้าวไกลพูดเรื่องซึ่งเป็น “ความเจริญ” ในอารยประเทศ พูดอีกแบบคือปฏิรูปกองทัพ, แก้ไข 112, ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ฯลฯ ไม่ได้สุดโต่ง แต่คนที่พูดว่าสุดโต่งต่างหากที่ทำให้ประเทศเดินหน้าช้าไป

เห็นได้ชัดว่าก้าวไกลมีคู่แข่งจากทุกขั้วการเมือง ยิ่งกว่านั้นคือคู่แข่งทั้งหมดพร้อมโจมตีก้าวไกลเรื่อง “สุดโต่ง” เพื่อปั่นกระแสว่าไม่มีใครร่วมรัฐบาลกับก้าวไกล แต่กลับกลายเป็นว่าข้อหานี้ไม่มีผลให้ความสนับสนุนที่ประชาชนมีต่อก้าวไกลลดลงแม้แต่นิดเดียว

เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ และชัยชนะของก้าวไกลที่คนทั้งประเทศเลือกเกือบ 15 ล้านเสียง คือเสียงสวรรค์ที่ตบหน้าพรรคการเมือง, สื่อ, นักวิชาการสายเลีย, บ้านใหญ่ ฯลฯ ที่พรรคใหญ่ทุกพรรคใช้โจมตีก้าวไกลย่อยยับทั้งที่ก้าวไกลไม่มีอะไรแบบนี้ในมือเลย

คงเร็วไปที่พรรคใหญ่ทุกพรรคจะตาสว่างจนสรุปได้ว่าแพ้ก้าวไกลย่อยยับเพราะอะไร

แต่ถ้าลงไปฟังความเห็นประชาชนจริงๆ ก้าวไกลประสบความสำเร็จเพราะการปักหมุดความคิดใหม่ทั้งในสภาและนอกสภาอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งทำให้เห็นว่าเป็นตัวแทนการเมืองใหม่ตั้งแต่ทำอนาคตใหม่จริงๆ

 

ก้าวไกลพูดตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่เรื่องปฏิรูปกองทัพ, เลิกเกณฑ์ทหาร, สุราก้าวหน้า และสมรสเท่าเทียม ซ้ำในสภาก็พูดเรื่องแก้ ม.112, ตั๋วช้าง, จีนเทา รวมทั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจประวิตร วงษ์สุวรรณ-ธรรมนัส พรหมเผ่า และเมื่อเข้าเลือกตั้งก็เป็นพรรคแรกที่พูดชัดเจนว่า “มีลุงไม่มีเรา” ตั้งแต่เวลาที่พรรคอื่นยังไม่พูดเลย

ขณะที่เพื่อไทยพูดเรื่อง “เลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์” ให้ทุกคนเทก้าวไกลไปเลือกเพื่อไทยราวกับเพื่อไทยและก้าวไกลไม่มีอะไรต่างกัน ก้าวไกลโดยปิยบุตร, อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, พรรณิการ์, ธนาธร ฯลฯ กลับย้ำจุดยืนก้าวไกลต่อเรื่องต่างๆ เพื่อบอกว่าก้าวไกลต่างกับเพื่อไทยจนต้องเลือกก้าวไกล ไม่ใช่เพื่อไทย

ในโลกที่แม้แต่การดูหนังยังต้องอ่านรีวิวว่าดีหรือไม่ ก้าวไกลคือพรรคเดียวที่เสนอตัวให้ประชาชนเลือกโดยมีความชัดเจนเรื่องจุดยืนและนโยบายตั้งแต่ไม่ยุบสภา ขณะที่หลายพรรคเน้นดีล, ดูด ส.ส., เจรจาบ้านใหญ่ หรือพัฒนานโยบายที่เชื่อว่าจะทำให้ชนะเลือกตั้งแบบนโยบายแข่งกันแจกเงิน

การเมืองในโลกสมัยใหม่มีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือการเมืองระดับพื้นที่, การเมืองเชิงนโยบาย และการเมืองเชิงจุดยืน ก้าวไกลเป็นพรรคเดียวที่เข้าสู่สนามเลือกตั้งโดยชัดเจนเรื่องจุดยืนและนโยบายจนคู่แข่งทุกฝ่ายโจมตีว่า “สุดโต่ง”

แต่ในที่สุดความชัดเจนนี้ส่งผลต่อชัยชนะระดับพื้นที่โดยตรง

 

ชัยชนะของก้าวไกลเป็นปฐมบทของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศ เพราะก้าวไกลไม่รับเงินจากกลุ่มทุน ซ้ำยังระดมทุนจากประชาชนด้วยการทำผ้าป่า แต่ก้าวไกลกลับมีชัยชนะเหนือทุกพรรคที่ใช้เงินหลายพันล้านจากเจ้าของพรรค, นายทุน และนักการเมืองแนวกลุ่มก๊วนหรือมาเฟีย

พรรคใหญ่ทุกพรรคมีสูตรสำเร็จว่าหัวใจของชัยชนะในการเลือกตั้งคือการดูด “บ้านใหญ่” เพื่อชนะระดับพื้นที่ และเสนอ “นโยบาย” ระดับประเทศ

แต่ชัยชนะของก้าวไกลคือบทพิสูจน์ว่าความชัดเจนเรื่องจุดยืนมีความสำคัญไม่น้อยกว่าการอัดฉีดของหัวคะแนนและนโยบายเชิงตัวเงิน

พรรคใหญ่ทุกพรรคเชื่อว่าการดูดบ้านใหญ่จะทำให้ชนะเลือกตั้งมากที่สุด แต่ชัยชนะของก้าวไกลเหนือบ้านใหญ่เพื่อไทยที่ลำปาง, ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา ฯลฯ รวมทั้งการได้คะแนนบัญชีรายชื่ออันดับหนึ่งในภาคใต้, สุพรรณบุรี

และแทบทุกจังหวัดคือสัญญาณไม่ต้องการนักการเมืองบ้านใหญ่ต่อไป

 

ในการพูดคุยระหว่างผมกับผู้สมัคร ส.ส.จาก “บ้านใหญ่” ในพรรคใหญ่ภาคเหนือที่แพ้ก้าวไกล ผู้สมัครท่านนั้นระบุ “กระแส” ก้าวไกลมาแรงช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนลงคะแนนเพราะภาพลักษณ์ของพรรคใหญ่มีปัญหาเรื่อง “ไม่ชัดเจน” และเรื่องทวิตเตอร์ที่ผู้สมัครประเมินว่าทำให้แพ้ก้าวไกล

ด้วยภาพลักษณ์ที่ไม่ชัดเจนเรื่อง 2 ป. และทวิตเตอร์คุณทักษิณ ชินวัตร กลับไทย เพื่อไทยถูกมองเป็นพรรคที่มีด้านคล้ายพลังประชารัฐและภูมิใจไทยในแง่ทำการเมืองแบบเก่าๆ ซึ่งเน้นเจรจาต่อรอง หรือ “ดีล” และสร้างเครือข่ายกับผู้มีอำนาจระดับท้องถิ่นและระดับชาติที่คนจำนวนมากไม่ต้องการเลย

ขณะที่เพื่อไทยและพรรคใหญ่อื่นๆ โจมตีว่าก้าวไกล “สุดโต่ง” คนเกือบสิบห้าล้านกลับมองว่าก้าวไกล “ชัดเจน” จนประชาชนรู้ว่าเลือกแล้วพรรคจะทำอะไร ใครเป็นนายกฯ ไม่ร่วมรัฐบาลกับใคร ส่วนพรรคการเมืองอื่นนั้นอำนาจประชาชนจบทันทีที่ปิดหีบเลือกตั้งจนไม่รู้ว่าพรรคจะทำอะไรเลย

เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ และจำนวนคนที่ลงคะแนนเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อจากพรรคก้าวไกลและอดีตพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ รวมกันกว่า 26 ล้านเสียง คือเสียงสวรรค์ที่ไม่ยอมรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะที่อีกเกือบ 15 ล้านเสียงที่เลือกก้าวไกลคือเสียงที่ไม่ยอมรับการเมืองเก่าของทุกฝ่ายอีกต่อไป

ถ้ามองการเมืองอย่างตรงไปตรงมา อนาคตของประเทศมีทางเดียวคือให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ และให้ก้าวไกลตั้งรัฐบาล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือเสียงของประชาชน 26 ล้านคนกลับทำได้แค่ส่งรัฐบาลก้าวไกลไปทำเนียบ

ขณะประตูเข้าสู่ทำเนียบกลับมี ส.ว.ขัดขวางเพื่อให้คุณประยุทธ์ยึดทำเนียบต่อไป

 

ขณะนี้พรรคก้าวไกลรวมเสียง ส.ส.หนุนพิธาเป็นหัวหน้ารัฐบาลได้แล้ว 310 คน ซึ่งเกินกว่าครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรที่มี 500 คน แต่การเลือกนายกฯ ในกติกาที่คุณประยุทธ์กำหนดต้องได้เสียง 376 เพราะ ส.ว.อีก 250 มีสิทธิโหวตจนทำให้พิธายังขาดเสียงอีก 66 เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี

ไม่ใช่ความลับว่ารัฐบาลสกัดพิธาเป็นนายกฯ มากพอที่รัฐมนตรีจะเสนอให้เพื่อไทยตั้งรัฐบาลแข่งกับก้าวไกล และถึงแม้เพื่อไทยจะปฏิเสธหลายครั้งว่าไม่มีมูล การปั่นกระแสว่าก้าวไกลตั้งรัฐบาลไม่ได้ก็ไม่จบ เช่นเดียวกับความเชื่อว่าอาจมี “ความจำเป็น” ที่พรรคอื่นต้องนำจัดตั้งรัฐบาลแทนก้าวไกล

แน่นอนว่าโอกาสที่สถานการณ์จะลุกลามถึงจุดนั้นยังไม่มี เพราะ ส.ว.หลายคนเริ่มบอกว่าจะเลือกพิธา เช่นเดียวกับประชาธิปัตย์ที่บอกว่าจะโหวตพิธาโดยไม่ร่วมรัฐบาลด้วย แต่ต่อให้ได้ ปชป.และ ส.ว.ที่เลือกพิธาราวๆ 20 ตัวเลขสมาชิกรัฐสภาที่โหวตพิธาก็จะอยู่ที่ 355 ซึ่งยังไม่พออยู่ดี

ภาพใหญ่ของประเทศคือ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมสละอำนาจทั้งที่มีคนเลือกนิดเดียว ขณะที่คนเลือกรัฐบาลก้าวไกลทุกพรรครวมกันมี 26 ล้าน คุณประยุทธ์จึงเป็นต้นเหตุแห่งทางตันของประเทศ ทางรอดของประเทศจึงได้แก่คุณประยุทธ์ต้องประกาศว่าผมพอแล้วเพื่อหยุดปัญหาทุกอย่างลง

ชัยชนะของพรรคก้าวไกลเป็นสัญญาณว่าประชาชนต้องการการเมืองใหม่ที่เห็นหัวประชาชน พรรคที่เน้นดีลลับๆ เพื่อตั้งรัฐบาลคือพรรคที่ทำ “การเมืองเก่า” ซึ่งจะทำให้ความไม่พอใจของประชาชนพุ่งทะยานถึงขีดสุดจนประเทศไทยจะเกิดความขัดแย้งใหม่ที่รุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อนเลย

อย่าบีบให้ประเทศถึงทางตันจนประชาชนต้องออกมาทะลุทางตันจากฝั่งเผด็จการ