ประจักษ์ ชี้ เลือกตั้ง 66 ‘ครั้งประวัติศาสตร์’ ก้าวไกล-เพื่อไทย ต้องจับมือจนครบเทอม

ประจักษ์ ชี้ เลือกตั้ง 66 ครั้งประวัติศาสตร์ ’ หักทุกปากกาเซียน ‘เพื่อไทย-ก้าวไกล’ ไฟล์ทบังคับ ต้องจับมือจนครบเทอม

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับมติชนทีวี ถึงผลการนับคะแนน โดยระบุว่า “เซอร์ไพรส์มาก แง่หนึ่งต้องให้เครดิตมติชน กลายเป็นว่า โพลมติชน-เดลินิวส์ แม่นสุด เพราะเป็นโพลเดียวที่ออกมาใกล้เคียงว่าเพื่อไทย ก้าวไกลสูสี กระทั่งก้าวไกลนำ เพื่อไทยในปาร์ตี้ลิสต์ ก็ไม่น่าเชื่อ”

ถามว่า พูดได้หรือไม่ปิดสวิตช์รัฐบาล ขณะนี้ที่ 2 พรรคได้ 293 ที่นั่ง ผศ.ดร.ประจักษ์ กล่าวว่า ในแง่นี้ก็ตรงกับที่คาดการณ์ไว้ ว่าเฉียดๆ 300 ยิ่งดูคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ 2 พรรครวมกันก็กวาดปาร์ตี้ลิสต์เกือบหมด ฝั่งขั้วรัฐบาลปัจจุบัน พ่ายแพ้อย่างชัดเจน จะเรียกว่ายับเยินเลยก็ได้ ทั้งปาร์ตี้ลิสต์ และ ส.ส.เขต

ผศ.ดร.ประจักษ์ กล่าวว่า อันนี้ชัดเจนว่าเป็นมติมหาชน ต่อให้ได้ไม่ถึง 376 ที่ปิดสวิตช์ไปเลย แต่ถ้าเสียงขนาดนี้มติมหาชนมันดังมาก คือการส่งเสียงของประชาชน ครั้งนี้ประชาชนส่งเสียงที่ดังมาก และชัดมาก ถ้าส.ว.มาขวาง อันตราย เพราะส.ว.เห็นการเลือกตั้งวันนี้ ส.ว.เป็นแค่คน 250 คน และคุณเห็นคนกี่สิบล้านคนโหวตขนาดนี้ ส.ว.ถ้ามาขวาง จะกลายเป็นแพะรับบาป แทนที่จะปล่อยให้พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับความพ่ายแพ้ เกษียณอายุทางการเมืองไป ถ้า ส.ว.มาอุ้มพล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็นว่า ส.ว. มาสร้างวิกฤตในบ้านเมือง มันชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกฯ เสียงข้างน้อย ที่ได้คะแนนน้อยมาก ไม่มีเสียงของประชาชนสนับสนุนเลย

ถามว่า นอกจากส.ว. ต้องระวังแล้ว นี่เป็นเสียงเตือนกลุ่มต่างๆ ที่จะใช้ช่องทางต่างๆ ต้องระวังไหม นายประจักษ์ กล่าวว่า ถูก อย่าไปคิดเลย เรื่องรัฐประหาร ยุบพรรค หรือตัดสิทธิ เพราะมันพิสูจน์ว่าวิธีการเหล่านั้นไม่ได้ผล ถ้าได้ผลคุณไม่แพ้เละเทะขนาดนี้ คุณยุบมากี่พรรคแล้ว ไทยรักษาชาติก็ยุบ อนาคตใหม่ก็ยุบ สรุปว่าเขาโตกว่าเดิม เผลอๆเป็นปฏิกิริยาความไม่พอใจด้วยซ้ำ ที่ถูกอำนาจรังแก ประชาชนก็เลือกมาถล่มทลาย คุณรัฐประหาร ครองอำนาจได้ไม่กี่ปี กลับมาสู่การเลือกตั้ง ก็แพ้

“มันพิสูจน์ว่า วิธีเหล่านั้น หากนำมาใช้อีก มันไม่ได้ผลแล้ว เผลอๆ ทำให้ก้าวไกล เพื่อไทย โตยิ่งกว่าเดิม การเลือกตั้งครั้งนี้เหมือนเป็นประชามติกลายๆระบอบประยุทธ์ ว่าคนไม่เอาการเมืองแบบ 8 ปีที่ผ่านมา คนไม่พอใจผลงานของพล.อ.ประยุทธ์ 8 ปี ที่ผ่านมา”

เมื่อถามว่าคะแนน ก้าวไกล เพื่อไทย ถ้าห่างกันน้อย การตั้งรัฐบาลร่วมกันจะเป็นปัญหาไหม ผศ.ดร.ประจักษ์ กล่าวว่า ไม่ง่าย แต่ไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าคะแนนมาอย่างนี้ ก้าวไกลจะไปจับกับใคร เพื่อไทยจะไปจับกับใคร เป็นไฟท์บังคับที่ 2 พรรคต้องจับกัน แน่นอน การเจรจาต่อรองเข้มข้น

“เราไม่เคยเจอมาก่อนในการเมืองไทย ภูมิทัศน์การเมืองไทยได้เปลี่ยนแล้ว การจัดตั้งรัฐบาล พรรคที่ 1 กับพรรคที่ 2 มาตั้งร่วมกัน ปกติพรรคที่ 1 ไปจับพรรคเล็กพรรคน้อย พรรคที่ 2 ไปเป็นฝ่ายค้าน นี่กลายเป็นพรรคอันดับ 1 และ 2 จับด้วยกัน แปลกมากกว่านั้นคือ พรรคอันดับ 1 และ 2 อันดับไม่ห่างกันมาก จะแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรีกันอย่างไร มันไม่ใช่สถานการณ์ที่เพื่อไทยจะกำหนดได้ทั้งหมดเหมือนเดิม ก้าวไกลก็ไม่ได้เช่นกัน ต้องแบ่งกันอย่างพอดีๆ”

“เป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ ฉีกทุกตำรา หักทุกปากกาเซียน ตำราทางการเมือง การวิเคราะห์ทางรัฐศาสตร์ ต้องยกทิ้งไปหมด ตัวผลด้วย เราวิเคราะห์ไม่ตรงกับความเป็นจริง แสดงว่ามันมีอะไรบางอย่างที่นักวิเคราะห์ พลาดไป สื่อก็พลาด โพลก็พลาดไป ไม่มีโพลไหนแม่นยำ”

“ทฤษฎีว่า ก้าวไกลเป็นพรรคของคนเมือง กับ เจน Z ใช้ไม่ได้แล้ว ไม่งั้นไม่ชนะมาเยอะขนาดนี้ แสดงว่าไปได้เสียงคนเจนอื่นๆมา เจนวาย เจนเอ็กซ์ และ คนแก่ ที่คนแก่หันมาเลือกก้าวไกลมากขึ้น ผมไปลงพื้นที่อุบลฯ มีคนบอกแต่ผมไม่เชื่อ แต่ผลเลือกตั้งแบบนี้ เขาได้จริง แสดงว่า ก้าวไกล ทะลุทะลวงออกนอกเขตเมืองแล้ว ถ้าไปดูหลายจังหวัด เขตรอบนอกก็ได้ ไม่ใช่แค่เขตเมือง เขตมหาวิทยาลัยก็ได้ ทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยใช้ไม่ได้แล้ว ทฤษฎี สงครามระหว่างรุ่นก็ใช้ไม่ได้ เพราะก้าวไกลครองเสียงหลายรุ่น กลายเป็นพรรคใหญ่”

และว่า การเมืองไทยเปลี่ยนอย่าง 360 องศา หลังจากนี้ มันสะท้อนว่า สังคมไทยมันเปลี่ยน ถ้าสังคมไทยไม่เปลี่ยน ก้าวไกลไม่ชนะขนาดนี้

เมื่อถามว่า จากนี้จะมีอะไรพลิกอีกหรือไม่ ผศ.ดร.ประจักษ์ กล่าวว่า พลิกยาก เป็นไฟล์ทบังคับ เพราะนึกสถานการณ์อื่นไม่ออก แต่ละพรรคได้ 140-150 เพื่อไทย ถ้าไม่เอาก้าวไกล ไปเอาภูมิใจไทยก็ไม่พอ เท่ากับต้องไปเอา พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ และต้องกอดคอกันครบเทอม และต้องกอดคอกันครบเทอมด้วย หากทะเลาะกัน พรรคหนึ่งถอนตัวก็ล่มเลย ต่อให้กองเชียร์ทะเลาะกันอย่างไร มันต้องร่วมหอลงโลง และทิ้งกันไม่ได้ เป็นสถานการณ์ใหม่ ที่ทั้ง 2 พรรคไม่คิดมาก่อน ว่าจะมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

เมื่อถามว่า จากการเลือกตั้งครั้งนี้ จะทำให้เส้นขนาน เพื่อไทย ก้าวไกล ห่างกันมากขึ้น ในการเลือกตั้งครั้งต่อๆไปไหม ความเป็นไปได้ไหมว่าจะกลายเป็นคู่แข่งกัน ผศ.ดร.ประจักษ์ กล่าวว่า ถูกต้อง เพราะว่ากลายเป็น 2 พรรคใหญ่ที่สุดในระบบการเมือง เพื่อไทย กับ ก้าวไกล เป็น 2 พรรคหลักของการเมืองไทยแล้ว โดยภูมิใจไทย ก็คงได้แค่ประมาณนี้ เป็นพรรคขนาดกลาง ไซซ์ 60-70 ที่นั่ง เป็นพรรคเป็นเครือข่ายอุปถัมภ์ มีกระสุนไม่มีกระแส เลยโตได้แค่นี้ ขณะที่ รวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ เป็นพรรคขนาดกลางค่อนไปทางเล็ก ก็ไม่ใช่คู่แข่งของเพื่อไทย ก้าวไกล นอกจากไปยุบรวมกัน แยกกันเดินไม่ได้แล้ว เพื่อไทย ก้าวไกล จะเป็น 2 พรรคหลัก ที่แข่งขันเข้มข้น การเมืองไทยตอนนี้ชัดเจนว่าเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด คนไทยเลือกขั้วประชาธิปไตยแบบ 60-70 % แต่คนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง แบ่งให้ครึ่งๆ ขั้วประชาธิปไตยกลายเป็นกระแสหลัก ไม่ใช่ข้างน้อย คนอยู่ข้างประชาธิปไตย เป็นเสียงข้างมาก ในสังคมนี้ ซึ่งแตกต่างทั้งอุดมการณ์ นโยบาย