ยุทธศาสตร์สู่การชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon

 

ยุทธศาสตร์สู่การชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์

 

อีกไม่ถึงหนึ่งเดือนก็จะเป็นวันเลือก ส.ส. ซึ่งกติกาของรัฐธรรมนูญทำให้ผลเลือกตั้งอาจเป็นหรือไม่เป็นวันเลือกหัวหน้าคณะรัฐบาล เพราะการดำรงอยู่ของ ส.ว.ที่คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา และคุณประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่งตั้งให้เลือกนายกรัฐมนตรีนั้นอาจทำให้เสียงประชาชนถูกกักขังอยู่แค่ในสภาโดยไม่มีผลต่อการตั้งรัฐบาลเลย

ถ้าเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์อย่างที่นักการเมืองชอบพูดเวลาหาเสียงเพื่อเอาใจประชาชน ส.ว.ก็เปรียบได้กับด่านที่กักกันให้เสียงสวรรค์จบแค่วันเลือกตั้ง คะแนนเสียงจากประชาชนจึงไม่สามารถทอดร่างเป็นทางเดินให้คนที่ประชาชนเลือกเข้าสู่ทำเนียบ หากไม่มีการอนุมัติจากด่าน ส.ว.

ไม่มีปัญหาเลยว่าเพื่อให้ได้นายกฯ ที่มาจากตัวแทนประชาชนจริงๆ จำเป็นที่ประชาชนต้องเลือกพรรคการเมืองที่ประกาศชัดเจนว่าตำแหน่งนายกฯ ต้องมาจากฝ่ายที่รวมเสียง ส.ส.และ ส.ว.ได้มากกว่า 375 เสียง หรืออย่างน้อยก็รวมเสียง ส.ส.ในสภาได้เลยครึ่งหนึ่งไปมากจนทำให้ ส.ว.เลือกนายกฯ ตามสภาผู้แทนราษฎร

นักวิชาการพูดตั้งแต่รณรงค์ล่ารายชื่อแก้รัฐธรรมนูญว่าจำเป็นต้อง “ปิดสวิตช์ ส.ว.” และทันทีที่เข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยก็หาเสียงให้ประชาชนเลือกเยอะๆ เพื่อผ่านด่าน 250 ส.ว.ไปตั้งนายกฯ

จนนำไปสู่การชูประเด็นว่าต้อง “เพื่อไทยแลนด์สไลด์” จึงจะสามารถ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ได้จริงๆ

 

แน่นอนว่าการฝ่าด่าน 250 ส.ว.ทำได้โดยเลือกเพื่อไทยและพรรคประชาธิปไตยอื่นๆ อย่างก้าวไกล, เสรีรวมไทย, ประชาชาติ ฯลฯ โดยไม่ต้องเลือกแค่เพื่อไทย

แต่ด้วยวาทกรรม “เพื่อไทยแลนด์สไลด์” คำว่า “ปิดสวิตช์ ส.ว.” เท่ากับกระตุ้นให้ทุกคนเลือกเพื่อไทยพรรคเดียวโดยปริยาย

ไม่มีคำตอบซึ่งเป็นที่ยุติแก่ทุกฝ่ายว่าทำไมผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล, ประชาชาติ หรือเสรีรวมไทยต้องไม่เลือกพรรคตัวเอง แต่คำตอบในโซเชียลและเวทีปราศรัยคือพรรคอื่นไม่มีทางชนะอย่างเพื่อไทย ถ้าพรรคอื่นแข่งกับเพื่อไทยก็จะตัดคะแนนจนแพ้หมด จึงควรเทคะแนนให้เพื่อไทยไปเลย

ไม่มีใครอยากเห็นสภาพที่พรรคฝ่ายค้านแข่งกันจนแพ้รัฐบาล และในโลกที่ควรเป็นจริงๆ พรรคฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย, ก้าวไกล, เสรีรวมไทย, ประชาชาติ ฯลฯ ควรคุยกันว่าทำอย่างไรให้การแข่งขันเลือกตั้งไม่นำไปสู่การตัดคะแนนจนแพ้ฝ่ายรัฐบาลในที่สุด แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ง่ายเลย

เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และเขต 1 ของเมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ ลำปาง ขอนแก่น อุดรธานี สมุทรปราการ มหาสารคาม ฯลฯ อนาคตใหม่คือฝ่ายชนะการเลือกตั้ง 2562 หรือไม่เพื่อไทยก็ชนะในระดับ 2,000-3,000 คะแนน จนจะบอกได้อย่างไรว่าใครควรเลือกตั้งแบบหลีกทางให้อีกฝ่ายเข้าสภา

มองไปในสามจังหวัดภาคใต้อย่างปัตตานี นราธิวาส และยะลา พรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่มีโอกาสชนะเลือกตั้งที่สุดคือประชาชาติ โดยไม่ต้องสงสัย คำถามคือเราจะบอกผู้สนับสนุนพรรคประชาชาติให้ไปเลือกพรรคเพื่อไทยหรือพรรคอื่นแทนพรรคนี้อย่างไร ยังไม่ต้องพูดว่าถึงบอกแล้วใครจะฟัง

ถ้าแลนด์สไลด์คือการเลือกอดีตพรรคฝ่ายค้านที่มีโอกาสชนะแต่ละเขตสูงสุด ก็แปลว่าคนเลือกเพื่อไทยควรเลือกก้าวไกลและประชาชาติในบางเขต, คนเลือกก้าวไกลควรเลือกเพื่อไทยและประชาชาติในบางเขต และคนเลือกประชาชาติก็ควรทำแบบเดียวกัน

ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีทางเกิดขึ้นเลย

 

หากตัวเลขเพื่อปิดสวิตช์ ส.ว.อยู่ที่การได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 250-376 ราย ตัวเลขนี้ก็สามารถได้ทั้งโดยเพื่อไทยพรรคเดียว หรือเพื่อไทยรวมกับพรรคอื่นๆ จนได้จำนวน ส.ส.ตามเป้าหมายที่กำหนด การบอกให้ผู้สนับสนุนพรรคหนึ่งทิ้งพรรคไปเลือกพรรคอื่นจึงยากเป็นทวีคูณ เว้นแต่คนจะคิดได้เอง

เพื่อไทยแลนด์สไลด์คือคำขวัญใหญ่ในการเลือกตั้งของเพื่อไทย และด้วยคำปราศรัยที่คุณเศรษฐา ทวีสิน คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และคุณภูมิธรรม เวชยชัย พูดเรื่อยๆ ถึงการตั้งรัฐบาลพรรคเดียวอย่างที่ไทยรักไทยทำหลังควบรวมอีก 5 พรรคการเมืองในปี 2549 เป้าหมายของเพื่อไทยน่าจะอยู่ที่การได้ ส.ส. 376 เสียงโดยประมาณ

ขั้นต่ำสุดของแลนด์สไลด์คือการได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 250 เสียงหรือครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่ด้วยตัวเลขโพลทุกสำนักตั้งแต่นิด้าโพล, มติชน VS เดลินิวส์โพล, เนชั่นโพล, บ้านสมเด็จโพลล์ ฯลฯ ไม่มีโพลไหนที่พรรคเพื่อไทยและคุณแพทองธาร ชินวัตร ได้คะแนนถึง 50% หรือเท่ากับยังไม่แลนด์สไลด์เลย

โพลจะสะท้อนความจริงหรือไม่คงต้องรอให้ถึงวันเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม แต่ในเมื่อโจทย์ของเพื่อไทยคือการตั้งรัฐบาลพรรคเดียว โพลที่พรรคได้ ส.ส.ยังไม่ถึง 250 หมายความว่าพรรคต้องหา ส.ส.ให้ได้อีกอย่างน้อย 126 เพื่อไปถึงเป้าหมายเรื่องการตั้งรัฐบาลพรรคเดียวภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน

คงมีแต่เพื่อไทยที่รู้ว่าจะมีกลยุทธ์อย่างไรเพื่อให้ได้ ส.ส.ตามปริมาณที่ต้องการ เพราะกลุ่มเป้าหมายที่เพื่อไทยต้องแย่งคะแนนให้ได้ประกอบด้วยกลุ่มคนรักประชาธิปไตย, กลุ่มเลือกตามนโยบายและผลประโยชน์ รวมทั้งกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยยุทธวิธีดึงคะแนนเสียงที่แตกต่างกัน

ถ้าเพื่อไทยดึงคะแนนจากสามกลุ่มนี้ได้ เพื่อไทยก็มีโอกาสเข้าใกล้เป้าหมายเรื่องรัฐบาลพรรคเดียวมากขึ้น

แต่คำถามคือเพื่อไทยจะดึงคะแนนจากกลุ่มรักประชาธิปไตยแบบเข้มข้นได้มากกว่าก้าวไกลอย่างไร

รวมทั้งทำอย่างไรที่จะดึงคะแนนจากกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจเพราะไม่ชอบเพื่อไทยเลย

 

คะแนนเพื่อไทยทุกโพลทั้งก่อนและหลังคุณเศรษฐาเปิดตัวอยู่ที่ราว 40% ปริศนาคือคะแนนของเพื่อไทยจะจบเท่านี้หรือไปต่อได้อีก

โจทย์ข้อนี้สำคัญเพราะคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และก้าวไกลมีคะแนนสูงขึ้นในนิด้าโพลครั้งล่าสุด 5% ซึ่งเทียบกับจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52 ล้านคนก็อาจเท่ากับ 2.6 ล้านคน

ยุทธวิธีของเพื่อไทยตั้งแต่ยุคไทยรักไทยคือประกาศนโยบายทีเด็ดก่อนเลือกตั้งเพื่อดันคะแนนนิยม แต่ด้วยนโยบายแจกเงินดิจิทัลคนละ 1 หมื่น และโอนเงินทุกเดือนให้ทุกครอบครัวมีรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 20,000 บาท การประกาศนโยบายแนวนี้ให้มากกว่านี้เป็นเรื่องยากและเสี่ยงอันตราย

มักเข้าใจว่าก้าวไกลกับเพื่อไทยตัดคะแนนกัน แต่เมื่อคะแนนก้าวไกลเพิ่มโดยคะแนนเพื่อไทยไม่ลด นั่นเท่ากับก้าวไกลเก็บคะแนนจากคนไม่เลือกเพื่อไทยที่เน้นประชาธิปไตยเข้มข้น และกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจได้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการดีเบตผ่านสื่อออนไลน์และโทรทัศน์ช่องต่างๆ ที่ผ่านมา

ขณะที่หลายพรรคถูกถามว่าจะจับมือใครตั้งรัฐบาลจนพรรคยอมรับว่าทำให้เสียคะแนน ก้าวไกลซึ่งพลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ และภูมิใจไทยประกาศไม่จับมือตั้งรัฐบาลกลับมีคะแนนพุ่งจากการดีเบตแค่ 2 สัปดาห์ โดยพื้นที่ดีเบตทั้งหมดเป็นช่องที่คนทั่วไปเข้าถึง และไม่ใช่ช่องการเมือง

ตรงข้ามกับสองพรรคใหญ่ที่คำถามเรื่องจับมือใครตั้งรัฐบาลกลายเป็นปัญหาความไม่ชัดเจนทางการเมือง การโจมตีที่ 3 พรรครัฐบาลมีต่อก้าวไกลด้วยเรื่องต่างๆ กลับทำให้คนฟังดีเบตรู้สึกว่าก้าวไกลมีความชัดเจนกว่าพรรคอื่นในที่สุด ต่อให้ฝ่ายรัฐบาลจะโจมตีด้วยเรื่องชังชาติหรือเรื่อง 112 ก็ตาม

 

การหาเสียงคือการเชิญชวนให้เลือกพรรคการเมือง และก็เหมือนการขายประกันที่ตัวแทนที่ดีคือตัวแทนที่ให้รายละเอียดว่าลูกค้าซื้อแล้วได้อะไร พรรคที่มีโอกาสได้ความไว้วางใจย่อมได้แก่พรรคที่ชัดเจนที่สุด เพราะความชัดเจนคือคุณสมบัติพื้นฐานที่ทำให้ประชาชนเลือกพรรคการเมือง

เร็วเกินไปที่จะบอกว่าผลโพลที่พิธาและก้าวไกลเป็นพรรคเดียวที่คะแนนเพิ่มขึ้น 5% จะเป็นเสียงโหวตที่เพิ่มขึ้นในวันเลือกตั้งจริงๆ แต่ก็เป็นการหลอกตัวเองเกินไปที่จะบอกว่าโพลไม่มีผลต่อเสียงโหวตแม้แต่น้อย กระบวนการแปรโพลเป็นคะแนนจึงเป็นโจทย์ของพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน

ถ้าการดีเบตและความชัดเจนในการตอบทำให้พรรคก้าวไกลคะแนนเพิ่มขึ้นจริง กระบวนการดีเบตที่เข้มข้นขึ้นจนครอบคลุมเรื่อง 112 ย่อมเป็นเงื่อนไขให้ก้าวไกลคะแนนสูงขึ้นอีก และหากคะแนนก้าวไกลไม่ได้มาจากการลดลงของเพื่อไทย เท่ากับว่าก้าวไกลดึงคะแนนจากฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล

ถึงที่สุดแล้วการทำให้ผู้สนับสนุนรัฐบาลเปลี่ยนใจหันมาเลือกฝ่ายค้านคือปัจจัยสำคัญที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ว่าจะโดยชัยชนะในการดีเบตของพรรคก้าวไกล หรือชัยชนะในการแย่งคะแนนจากพลังประชารัฐและภูมิใจไทยโดยพรรคเพื่อไทยก็ตาม