จดหมาย มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 ก.ย. 59

ผมงง

ครั้งหนึ่ง

เราเคยพูดกันว่า ระบบราชการไทยไร้ประสิทธิภาพ เต็มไปด้วยขั้นตอนมากมาย เชื่องช้า เล่นพรรคเล่นพวก

คนเก่งแต่ไม่มีเส้นสายอยู่ยาก

คนไม่ทำงานแต่เชลียร์เก่งกลับรุ่ง

ข้าราชการทำงานเช้าชามเย็นชาม

ทำงานไปตามระบบ ไม่ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ

คนเคยกระตือรือร้น เป็นข้าราชการสักพัก ก็เฉื่อยชาไปตามระบบ

ไม่สามารถเข้าสู่ระบบที่มีการแข่งขันได้เลย

และซ้ำยังถูกกล่าวหาเรื่องการคอร์รัปชั่น แทบทุกหน่วยงาน ทุกฝ่ายที่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน

เป็นที่มาของคำว่า “ค่าน้ำร้อนน้ำชา เงินใต้โต๊ะ เก๋าเจี๊ยะ” ฯลฯ ก็มาจากการทำงานของราชการทั้งนั้น

ครั้งนี้ ครั้งที่เราเชื่อ ตามที่มีคนบอกว่า นักการเมืองเลวทุกคน โกงทุกคน ต้องกำจัดไปให้สิ้น

เราก็เลยจะให้คนที่ครั้งหนึ่งเราเคยบอกว่าไร้ประสิทธิภาพ ไร้ฝีมือ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เฉื่อยชา ทำงานตามระบบเก่าๆ ไปวันๆ โกง ฯลฯ มาเป็นตัวขับเคลื่อนประเทศ

ในยุคสมัยที่โลกหมุนเร็วจี๋ มีการเปลี่ยนแปลง ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นแทบตลอดเวลา

ในยุคที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มากเล่ห์ มากผลประโยชน์ ที่ขัดกัน

บอกว่าร่วมมือกัน แต่ก็แข่งกันรุนแรง เผลอเป็นโชกเลือด

แล้วคนที่มาจากระบบที่ไม่คุ้นเคยกับการแข่งขัน เหล่านี้จะมีวิธีขับเคลื่อนประเทศอย่างไร

จะขับเคลื่อนประเทศไปทางไหน หรือขับเคลื่อนไปวันๆ

ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ไม่เป็นไร

พอถึงที่สุด ก็คงมีเหตุผลเดิมๆ แบบว่า

ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราช

ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นใคร

เราต้องภูมิใจในความเป็นไทยของเรา

ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร ไม่จำเป็นต้องแข่งกับใคร บลา…บลา…บลา เรามีความสุขในแบบของเรา

พยายามหาตรรกะ มาทำความเข้าใจกับวิธีการคิดแบบนี้

แต่ก็หาไม่ได้ ไม่เข้าใจ

“ผมงง”

เขาไม่ได้บอกว่า นักการเมืองเลวทุกคน โกงทุกคน สักหน่อย

เฉพาะบางคน มิใช่หรือ

อย่าบิดเบือน เดียวเจอมากกว่า “งง” (ฮา)

และทั้งหลายทั้งปวง ที่ยกมานั้น เขาเรียก ประชา-รัฐ

เป็นประชาธิปไตยแบบไทย-ไทย มิใช่หรือ

ไม่ต้องไปหา ตรรกะ อะไร มาอธิบายให้ งง อีก

มา มา มา

มามีความสุขในแบบของเรา (ฮา-ฮา)

ข้อมูลอีกด้าน

เป็นเวลากว่า 2 ปีนับตั้งแต่มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ติดตามสถานการณ์สิทธิมนุษยชนหลังรัฐประหาร

ได้รับข้อมูลจากกรมพระธรรมนูญระบุว่าตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557-31 พฤษภาคม 2559 มีคดีของพลเรือนที่ถูกดำเนินคดีในศาลทหารจำนวน 1,546 คดี

คิดเป็นจำนวนผู้ต้องหาและจำเลยรวม 1,811 คน

เป็นคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี 517 คดี

และคดีที่ศาลพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว 1,029 คดี

ซึ่งสามารถแบ่งเป็น

– คดีฝ่าฝืนคำสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติจำนวน 44 คดี

– คดีมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา (หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ) จำนวน 63 คดี

– คดีมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา (ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่องฯ) จำนวน 5 คดี

– คดีตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธ พ.ศ.2490 จำนวน 1,434 คดี

จากสถิติรวมดังกล่าวหากแบ่งตามพื้นที่ในต่างจังหวัดที่ขึ้นต่อศาลมณฑลทหารบก มีจำนวนคดีทั้งหมด 1,371 คดี ผู้ต้องหาและจำเลยรวม 1,536 คน เป็นคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี 445 คดี และคดีที่ศาลพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว 926 คดี

แบ่งเป็น

– คดีฝ่าฝืนคำสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติจำนวน 20 คดี

– คดีมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา จำนวน 20 คดี

– คดีมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา จำนวน – คดี

– คดีตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธ พ.ศ.2490 จำนวน 1,331 คดี

ในขณะที่ศาลทหารกรุงเทพมีจำนวนคดีทั้งหมด 175 คดี ผู้ต้องหาและจำเลยรวม 275 คน เป็นคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี 72 คดี และคดีที่ศาลพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว 103 คดี

แบ่งเป็น

– คดีฝ่าฝืนคำสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติจำนวน 24 คดี

– คดีมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา จำนวน 43 คดี

– คดีมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา จำนวน 5 คดี

– คดีตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธ พ.ศ.2490 จำนวน 103 คดี

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

2 ปีกว่าของการรัฐประหาร

นอกจากข้อมูลที่ว่า ทำให้ มีผู้แข็งแกร่ง ขึ้น

และมีสิทธิจะกลับมาเป็น “ผู้นำ” อย่างสง่างาม แล้ว

ข้อมูลจาก “ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน”

ก็เป็นข้อมูลที่ ไม่ควรลืม

แม้ว่า คนเหล่านี้จะมีภาพ “คน บ่ ดี” ก็ตาม