ชะตากรรมอันไม่แน่นอนของ “มูการ์เบ้” และ “ชาวซิมบับเว” หลังกองทัพยึดเมือง

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 ผ่านมาแล้ว 2 วัน หลังทหารซิมบับเวยาตราเข้ายึดจุดสำคัญในกรุงฮาราเร เมืหลวงของประเทศ จนมีเสียงลือกันว่ากองทัพซิมบับเวจะก่อการรัฐประหารยึดอำนาจจากนายโรเบิร์ต มูการ์เบ้ ประธานาธิบดีที่ครองอำนาจมา 37 ปี

แม้ว่านายพลที่นำทหารเข้ายึดเมืองและยึดสถานีโทรทัศน์จะออกมากล่าวว่า ไม่ได้นำทหารก่อการรัฐประหารล้มนายมูการ์เบ้ แต่เป็นเข้ามาจัดการอาชญากรรมรอบๆตัวนายมูการ์เบ้

แต่ถึงกระนั้น สถานการณ์ภายในประเทศซิมบับเวยังคงไม่มีความชัดเจนนักว่า ชะตาชีวิตต่อจากนี้ของนายมูการ์เบ้จะเป็นอย่างไร

สำนักข่าวรอยเตอร์สได้เสนอรายงานวิเคราะห์สถานการณ์ภายในซิมบับเว ที่ตอนนี้ ชะตากรรมของนายมูการ์เบ้ ยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้าย แม้เขาจะไม่ยินยอมในความพยายามที่จะทำให้เขาลงจากอำนาจ โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายแอฟริกาของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯระบุว่า สหรัฐฯกำลังเฝ้ามองยุคใหม่ของซิมบับเว เสมือนบอกเป็นนัยว่าถึงเวลาที่ผู้นำที่ชราภาพควรลงจากอำนาจได้แล้ว

เมื่อการตีแผ่ได้เกิดขึ้นในกรุงฮาราเร ได้ทำให้เกิดภาวะสับสน เมื่อภาพของนายมูการ์เบ้ที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม จับมือกับนายพลที่อยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจ ทิ้งคำถามให้เกิดขึ้นว่าจุดจบจะใกล้มาถึงแล้วหรือไม่ แม้แต่หนังสือพิมพ์ของทางการอย่างเฮรัล ไม่มีรายงานผลการเจรจา ปล่อยให้ชาวซิมบับเว 13 ล้านชีวิตเผชิญสถานการณ์อย่างไร้หนทาง

 

ด้านนายโดนัลด์ ยามาโมโต้ รักษาการณ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศด้านกิจการแอฟริกากล่าวปฏิเสธความคิดที่ว่านายมูการ์เบ้ยังคงมีบทบาทในเชิงพิธีการหรือช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยระบุว่า นี่คือการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ของซิมบับเว และนั้นเป็นสิ่งที่เรากำลังหวังให้เกิดขึ้นจริงๆ

 

ส่วนทางกองทัพซิมบับเว ต้องการให้มูการ์เบ้ลงจากอำนาจอย่างสงบ นุ่มนวลและไร้การนองเลือด ส่งตัวให้กับนายเอ็มเมอร์สัน แนนกาว่า รองประธานาธิบดีที่ถูกปลดไปก่อนหน้านี้ โดยเป้าหมายสำคัญของทหารที่เข้ามายึดอำนาจนั้น คือยับยั้งไม่ให้มูการ์เบ้ส่งมอบอำนาจให้กับเกรซ มูการ์เบ้ ภรรยาวัย 41 ซึ่งได้ปรากฎตัวเข้ามามีบทบาททางอำนาจหลังเขี่ยนายแนนกาว่าออกจากตำแหน่ง

ขณะที่แหล่งข่าวทางการเมืองระบุว่า นายมูการ์เบ้ ในวัย 93 ปรากฎตัวต่อสาธารณะในสภาพที่อ่อนแออย่างมาก แต่ก็ยังคงอ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้นำอันชอบธรรมและปฏิเสธที่จะลาออก ถึงกระนั้น แรงกดดันก็ยังโถมเข้าใส่ผู้นำคนนี้ให้ยอมรับข้อเสนอลงจากตำแหน่งมากขึ้น และยังกล่าวว่า นายดูมิโซ ดาเบนว่า อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ได้จัดแถลงข่าวที่โจฮันเนสเบิร์ก ซึ่งแหล่งข่าวของทางการแอฟริกาใต้กล่าวว่า คาดว่านายดาเบนว่า จะหารือถึงเหตุการณ์ในซิมบับเเว ซึ่งดูเหมือนจะมีข้อตกลงบางอย่างให้เห็นแล้ว

การยึดอำนาจของทหาร กลายเป็นสัญญาของการล่มสลายของความมั่นคง ที่ประกอบด้วยเครือข่ายอุปถัมภ์และการข่าวที่ค้ำจุนอำนาจนายมูการ์เบ้มาเกือบ 4 ทศวรรษ และสร้างชายผู้นี้ให้กลายเป็น “ผู้อาวุโส” แห่งการเมืองแอฟริกา แม้ว่านายมูการ์เบ้ยังคงถูกจดจำในฐานะวีรษุรุษผู้ปลดปล่อย แต่ในสายตาของชาติตะวันตก มูการ์เบ้คือจอมเผด็จการที่ทำลายระบบเศรษฐกิจและใช้ความรุนแรงเพื่อรักษาอำนาจ โดยซิมบับเวเคยเผชิญภาวะเศรษฐกิจพังทลายหลังการยึดที่ดินจากคนผิวขาวในช่วงต้นปี 2000 ก่อนตามมาด้วยการพิมพ์ธนบัตรจำนวนมากจนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อครั้งมโหฬารถึง 5 แสนล้านเปอร์เซ็นต์ ในปี 2008