ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 พฤศจิกายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ท่าอากาศยานต่างความคิด |
เผยแพร่ |
My Chefs (9)
เมื่อราวสิบกว่าปีก่อน ชายหนุ่มสองคนที่เกิดปีเดียวกัน ในดินแดนเดียวกันที่ถูกแบ่งเป็นครึ่งด้วยความเชื่อที่แตกต่างกันพบกันที่ลอนดอน
คนหนึ่งทำงานเป็นเชฟร้านอาหารอยู่แล้ว
แต่อีกคนกำลังหางานทำอย่างขะมักเขม้น
พวกเขาพบกันที่ร้านขายวัตถุดิบในการทำอาหาร พูดคุยกัน เป็นมิตรกัน
คนหนึ่งเป็นชาวอาหรับจากทางฝั่งตะวันออกของนครเยรูซาเลม
คนหนึ่งเป็นชาวยิวจากฝั่งตะวันตกของเยรูซาเลม
สองปีให้หลังจากการพบกันครั้งนั้น ทั้งคู่เปิดร้านอาหารร่วมกันในลอนดอนเพื่อแนะนำอาหารจากเยรูซาเลมและตะวันออกกลาง
ชายชาวยิวมีชื่อว่า โยตัม ออตโตเลงกิ-Yotam Ottolenghi
ส่วนชายชาวอาหรับนั้นมีชื่อว่า ซามิ ทามิมิ-Sami Tamimi
ร้านอาหารของเขาชื่อว่า Ottolenghi มันตั้งอยู่แถบน็อตติ้งฮิลล์
และมันประสบความสำเร็จตั้งแต่นั้นมา
ผมชอบเรื่องราวการก่อกำเนิดของร้าน Ottolenghi มาก
หนังสือตำราอาหารของพวกเขาที่ชื่อ Ottolenghi เป็นตำราอาหารที่ขายดีที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ในช่วงแรกที่จัดพิมพ์ยอดขายของมันทะลุหนึ่งแสนเล่มอย่างรวดเร็วและทำให้มีตำราอาหารเล่มอื่นตามมาอีก
อาหารจากตะวันออกกลางที่พวกเขานำเสนอ เช่น มะเขือม่วงย่างราดด้วยโยเกิร์ต-Roasted Eggplant with Yogurt กลายเป็นเมนูยอดนิยมประจำครัวเรือนในเวลาอันรวดเร็ว
มีคำถามจากคอลัมนิสต์ด้านอาหารบางคนที่ถามพวกเขาว่า “พวกคุณทำงานร่วมกันได้อย่างไร ในขณะที่โลกข้างนอกนั้น ชาวยิวและชาวอาหรับมีความขัดแย้งกันอย่างสูง โดยเฉพาะในดินแดนเยรูซาเลมที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ครอบครอง”
โยตัม ออตโตเลงกิ ตอบคำถามนี่ได้น่าสนใจอย่างยิ่ง
เขากล่าวว่า “ความขัดแย้งใดๆ นั้นล้วนเป็นสภาวะบางอย่างของความคิด และเมื่อใดก็ตามคุณไม่พลัดตกลงไปในกับดักความคิดแบบนั้น มันย่อมมีความขัดแย้งเกิดขึ้น”
ในขณะที่ ซามิ ทามิมิ กล่าวว่า
“พวกเราไม่เคยคุยเรื่องการเมืองกันเลยในร้านอาหาร ในงานที่พวกเราทำนั้น พวกเรามุ่งมั่นอยู่แต่เพียงเรื่องเดียวคือเรื่องของอาหาร พวกเรามีความสุขที่อาหารของเรา ตำราอาหารของเรานำพาผู้คนมาอยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นชาวยิว หรือชาวอาหรับก็ตามที”
อาหารอาจเป็นเพียงไม่กี่สิ่งในโลกที่ทำให้มนุษย์มีสันติ
การทานอาหารร่วมกันคือความเชื่อใจอย่างสูง
ในยามสงครามที่การวางยาพิษ การลอบสังหารเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อนั่งลงทานอาหารร่วมกันแล้ว อาวุธเป็นสิ่งที่ต้องวางลงก่อนอื่น
ความโกรธเกรี้ยวเป็นสิ่งที่ต้องวางตามลงมา (หาไม่แล้วมีดที่ใช้ทานอาหารอาจปักอยู่ที่อกของอีกฝ่ายได้ง่ายๆ)
หลังจากนั้นความเอื้อเฟื้อจะบังเกิดขึ้น เราเอร็ดอร่อยกับรสชาติ พูดคุยถึงมัน และหลังจากนั้นเราจะเป็นมิตรกัน
ไม่แตกต่างหรอกว่าคุณมีวิธีปรุงอาหารเช่นไร บางชนชาติอาจปอกมันฝรั่งเข้าหาตัว
บางชนชาติอาจปอกมันฝรั่งออกจากตัว
บางชนชาติอาจใช้ครกด้วยการตำ (เช่น ในสังคมไทย) และในบางชนชาติอาจใช้ครกด้วยการบด (ไม่ต่างจากการบดยา เช่น ในสังคมอินโดนีเซีย)
บางชนชาติอาจเสี่ยงตายด้วยอาหาร (เช่น การทานปลาปักเป้าหรือฟูกุในสังคมญี่ปุ่น) และบางชนชาติอาจอยู่ได้ด้วยความพิสดารของความเชื่อในอาหาร (เช่น การทานสมองลิงหรืออุ้งตีนหมีในสังคมจีน)
อาหารเป็นความหลากหลาย
อาหารเป็นสิ่งที่เราต้องนำเข้าตัว เราทุกคนมีรสนิยม มีความเชื่อต่ออาหารที่แตกต่างกันไป
แต่เราทุกคนล้วนต้องกินอาหาร ต้องรับอาหารเข้าสู่ร่างกาย
และการแลกเปลี่ยนเรื่องอาหารที่ว่านั้นเองที่บ่งบอกว่าแม้เราจะเป็นมนุษย์ที่แตกต่างเรายังมีความคล้ายคลึงกัน
ในวัยเด็ก โรงเรียนที่ผมเรียนนั้นบังคับให้ทุกคนต้องทานอาหารร่วมกัน
สำหรับนักเรียนที่จ่ายค่าอาหารประจำภาคการศึกษา เราจะถูกบังคับให้นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งของโรงอาหารและรอรับอาหารที่ทยอยลำเลียงมาจากโรงครัว
ในขณะที่นักเรียนที่ไม่ได้จ่ายค่าอาหารเช่นนั้น พวกเขาจะนั่งล้อมวงที่อีกฝั่งหนึ่ง เปิดปิ่นโตหรือกล่องข้าวอะลูมิเนียมขึ้น (อันเป็นภาชนะใส่อาหารที่แทบจะกลายเป็นสิ่งของจากอดีตไปเสียแล้วในยามนี้)
ผมเป็นนักเรียนที่สังกัดอยู่ในฝ่ายแรกและนึกอิจฉาเพื่อนร่วมห้องที่มีปิ่นโตหรือกล่องข้าวส่วนตัวมา
อาหารของทางโรงเรียนแม้จะแลดูหน้าตาดี มีการปรุงที่เรารู้สึกได้ถึงสุขอนามัย แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็เต็มไปด้วยความน่าเบื่อ
แน่นอนการต้องปรุงอาหารจำนวนมากให้นักเรียนในโรงเรียนทำให้แม่ครัวล้วนคร้านที่จะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป
เป็นที่รู้กันว่าในหนึ่งอาทิตย์เราจะพบยำผักสลัดที่ราดน้ำสลัดมาจนชุ่ม
ในหนึ่งอาทิตย์เราจะพบกับแกงเขียวหวาน
ในหนึ่งอาทิตย์เราจะพบกับหมูทอดกระเทียมพริกไทย
และในหนึ่งอาทิตย์เราจะได้พบกับปลาทอด ผลไม้นั้นแม้จะหลากหลายแต่ก็วนเวียนอยู่กับกล้วยหอม มะละกอและแตงโม
การได้พบกับอาหารที่ผิดแผกแทบไม่เคยเกิดขึ้นและมันจะดำเนินไปเช่นนั้น วนเวียนไปจนหมดภาคการศึกษา
ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงรู้สึกอิจฉาเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะที่ว่านี้ แม้ว่าหน้าตาอาหารของพวกเขาจะไม่แลดูดีงามหรือมีสกุลเช่นอาหารของเรา
แต่อาหารของพวกเขามีความหลากหลายและชวนกินกว่าอาหารของผมมากนัก
เพื่อนบางคนเปิดปิ่นโตของเขาขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของใบแมงลักจากแกงเลียง
บางคนใช้ส้อมตักผักบุ้งจากแกงหมูเทโพของเขาอย่างมีรสชาติ
บางคนแม้อาจจะมีเพียงไข่ต้มเพียงสองฟอง แต่น้ำปลาที่มีหอมแดงซอยเจืออยู่ก็ชวนกินอย่างยิ่ง
หลายครั้งที่ผมจะแกล้งลุกออกจากโต๊ะอาหารด้วยข้ออ้างที่จะไปสู่ห้องน้ำและใช้เวลาที่เดินผ่านเพื่อนเหล่านั้นแอบมองอาหารของพวกเขา
ต้มยำปลากระป๋อง ไข่เจียวใส่ใบพริก น้ำพริกตาแดง ผมจะแอบมองอาหารเหล่านั้นด้วยความกระหายและกลืนน้ำลายของตนเองไว้ก่อนจะกลับมานั่งยังที่เดิมของตน
การแลกเปลี่ยนอาหารของผมเริ่มต้นที่นั่น
ผมไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนเริ่มต้นก่อน ผมหรือสุวิทย์ เพื่อนผู้ที่แม่ของเขามีอาชีพเป็นแม่บ้านเต็มตัว พ่อของเขาเป็นข้าราชการสรรพสามิตที่ประจำอยู่ที่อีกจังหวัดหนึ่ง (ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าสรรพสามิตนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบเช่นใดบ้าง) ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่กับแม่เพียงลำพัง
อาหารของสุวิทย์เป็นอาหารพื้นๆ แต่ดึงดูดใจผมเสียทุกอย่าง ต้มจืดเต้าหู้หมูสับกับวุ้นเส้น ยำกุนเชียงกับไข่เค็ม ต้มส้มปลากระบอก
แทบทุกวันเมื่อถึงเวลาเที่ยงและการทานอาหารร่วมกันเริ่มขึ้น ผมจะเหลือบมองดูอาหารของสุวิทย์เป็นสิ่งแรกแทนที่จะเป็นอาหารของตนเองและรู้สึกว่าจะดีมากน้อยเพียงใด ถ้าผมจะขอแลกหมูกระเทียมพริกไทยในจานเบื้องหน้าผมกับยำกุนเชียงของเขาแม้เพียงหนึ่งช้อนก็ตามที
การลอบมองที่ว่าทำให้ผมพบว่าสุวิทย์เองก็แอบมองผลไม้ของผมอยู่เสมอ
เขาดูจะหลงใหลมะละกอสีส้มในจานของพวกเราเสียจริงๆ
ดังนั้น วันหนึ่งเราจึงตกลงกันโดยผมจะเก็บผลไม้บางส่วนใส่ถุงหลังมื้ออาหาร ในขณะที่สุวิทย์จะเหลืออาหารในกล่องข้าวของเขาครึ่งหนึ่งให้ผม
ข้อแลกเปลี่ยนที่ว่านี้ทำให้ผมและสุวิทย์ต้องรีบกินอาหารให้เสร็จสิ้นก่อนคนอื่นและตรงไปที่จุดนัดพบของเราคือต้นก้ามปูหน้าโรงเรียน ที่นั่นเราจะเอาใบก้ามปูมารองก้นและเริ่มต้นกินอาหารที่เราอยากกิน
สุวิทย์จะปอกกล้วยหอมเข้าปากของเขาด้วยความสุขใจ
ในขณะที่ผมจะตักข้าวที่มีแกงพะโล้และหมูสามชั้นเข้าปากด้วยความเพลิดเพลิน
เราแลกเปลี่ยนอาหารด้วยวิธีการที่ว่าอยู่สองหรือสามเทอมก่อนที่สุวิทย์จะต้องย้ายออกจากโรงเรียนเพื่อไปเข้าโรงเรียนใหม่ในพื้นที่ที่พ่อของเขารับราชการอยู่
ผมแทบจะลืมประสบการณ์การทานอาหารแบบแลกเปลี่ยนนี้ไปแล้วถ้าในอีกหลายสิบปีต่อมา หากผมและเพื่อนร่วมครัวชาวศรีลังกาอีกคนคือ สิงเห จะไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน
เมื่อร้านอาหารแบบ Take Away ร้านหนึ่งที่ผมทำงานอยู่ที่ลอนดอนตอนนั้นมีนโยบายที่จะไม่เก็บอาหารไว้ค้างคืนโดยเฉพาะในคืนวันศุกร์ที่ร้านจะต้องปิดในวันเสาร์และอาทิตย์
ดังนั้น แม้เราจะพยายามควบคุมหรือจำกัดการปรุงอาหารให้น้อยที่สุดเพียงใด การคำนวณปริมาณอาหารก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี ดังนั้น เมื่อถึงเวลาปิดร้าน ข้าวราดแซลมอนเทริยากิ ข้าวราดไก่เทริยากิ ปลาดิบ รวมถึงสลัดแบบอื่นๆ ก็เหลือค้างอยู่ในตู้แช่เป็นจำนวนไม่น้อย
สิงเห ผู้มีหน้าที่ต้องเททุกอย่างเหล่านั้นใส่ถังขยะมักทำหน้าเศร้าอยู่เสมอ พร้อมกับคำพูดเปรยๆ ว่า “เสียดายเหลือเกิน เสียดายเหลือเกิน ยิ่งเมื่อนึกถึงเพื่อนร่วมชาติของผมที่อดอยากในประเทศด้วยแล้ว”
จริงอยู่ เราทุกคนที่เป็นพนักงานมีสิทธินำอาหารที่เหลือกลับไปทานได้มากเท่าที่ต้องการ แต่นั่นก็เป็นในช่วงแรกๆ ของการทำงานนั่นเอง
หลายอาทิตย์ผ่านไป ไม่ว่าอาหารในร้านจะน่าสนใจเพียงใด แต่การคิดว่าต้องนำมันกลับไปทานด้วยแล้วกลับเป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกฝืนทนมากกว่ายินดี
แต่หลังเหตุการณ์กระอักกระอ่วนที่ว่าดำเนินไปได้สองหรือสามอาทิตย์ ผมก็พบทางออก
คืนหนึ่งในขณะที่ผมมุ่งหน้าไปยังสถานีรถประจำทางแถบทราฟัลการ์สแควร์หลังการทำงานล่วงเวลา ผมพบเห็นแถวยาวเหยียดของผู้คนไร้บ้านแห่งนครลอนดอนยืนแออัดอยู่หน้ารถบรรทุกคันหนึ่ง
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ผมจึงพบว่าพวกเขากำลังรอซุปที่ถูกตักแจกจ่ายจากหม้อซุปที่วางอยู่บนกระบะท้ายรถ มีขนมปังถูกนำมาจากร้านทำขนมปังแห่งหนึ่งแจกให้สำหรับทานกับซุปด้วย
ผมยืนนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถามกับเจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งที่ควบคุมดูแลอยู่บริเวณนั้นว่าถ้าหากผมจะนำอาหารที่เหลือจากร้านอาหารของตนเองมาร่วมบริจาคด้วยจะเป็นไปได้ไหม
“ได้สิ แต่ว่าควรจะเป็นอาหารที่มีสุขอนามัย ไม่ใช่ของดิบ สลัดผัก ข้าวหรือสิ่งต่างๆ ทำนองนั้นเป็นสิ่งที่เรายินดี”
ผมเอ่ยความคิดนี้กับสิงเห
ในสัปดาห์ถัดมา เขาตอบรับมันด้วยความลิงโลดใจ และเมื่อคืนวันศุกร์มาถึง หากใครจะผ่านไปในคืนนั้นจะเห็นชายหนุ่มสองคนแบกถุงอาหารขนาดใหญ่ที่มีทั้งข้าวหน้าเทริยากิต่างๆ และสลัดผักมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟชาร์ลิ่งครอส ไปยังบริเวณทราฟัลการ์สแควร์อย่างทุลักทุเล
เราเอาทุกอย่างที่คิดว่าจะแบ่งปันได้ในคืนนั้นติดตัวมาด้วย
และหลังจากเปิดกล่องอาหารให้เจ้าหน้าที่สาวคนเดิมที่ผมเคยพบให้เธอได้ชิม เธอก็พยักหน้าอย่างพอใจและเริ่มต้นแจกจ่ายมัน
ไม่ถึงสิบห้านาที ข้าวและสลัดผักที่เราเตรียมมาก็หมดลง
ผมกับสิงเหนั่งลงที่ริมถนน เฝ้ามองผู้คนเหล่านั้นทานอาหารของเราด้วยความเพลิดเพลิน
ช่วงเวลานั้นเองที่ผมนึกถึงสุวิทย์ นึกถึงภาพที่เขาทานผลไม้ที่นำมาให้อย่างมีความสุขและนึกถึงภาพที่เขามองผมทานอาหารจากกล่องข้าวของเขาอย่างอิ่มเอม
อาหารนั้นเป็นสิ่งที่ควรแบ่งปัน อาหารนั้นเป็นสิ่งที่ควรถูกลิ้มลองเมื่อปรุงขึ้น
เราอยู่ในโลกที่ทุกคนต้องการอาหารที่ดี ลิ้มลองสิ่งต่างๆ อาหารเป็นสิ่งที่ไม่มีเชื้อชาติ ห่างไกลจากการถูกตีตราแบ่งแยก
โลกของอาหารเป็นโลกที่เป็นหนึ่งเดียวอย่างที่ โยตัม ออตโตเลงกิ กล่าว
“ในโลกของอาหารไม่มีความขัดแย้ง ในโลกของอาหารไม่มีการแบ่งแยก โลกของอาหารเป็นโลกที่มีเพียงหนึ่งเดียว”