In Utero อัลบั้มที่ดำดิ่งสู่ห้วงลึกแห่งความฝัน ของ เคิร์ต โคเบน

บทความพิเศษ | ศรัณยู ตรีสุคนธ์

 

In Utero

อัลบั้มที่ดำดิ่งสู่ห้วงลึกแห่งความฝัน

ของ เคิร์ต โคเบน

 

Nirvana เป็นวงร็อกที่มีผลงานเพลงออกมาเพียง 3 ชุดเท่านั้นคือ Bleach (1989), Nevermind (1991)

โดยอัลบั้มลำดับที่ 2 ของวงชุดนี้สามารถเบียดอัลบั้ม Dangerous ของ ไมเคิล แจ๊กสัน ตกจากบัลลังก์แชมป์บนบิลบอร์ด อัลบั้ม ชาร์ต ได้

ส่วน In Utero ได้สตีฟ อัลบินี ที่เคยร่วมงานกับวงอัลเทอร์เนทีฟร็อกชั้นครูอย่าง The Pixies และ The Breeders มาเป็นโปรดิวเซอร์

โดย In Utero เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ของวงและเป็นงานเพลงชุดสุดท้ายของวงด้วย

อัลบั้มชุดนี้วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 21 กันยายนปี 1993 ภายใต้สังกัด DGC Records

ซึ่งหมายความว่าอีกราวๆ 7 เดือนต่อจากนี้อัลบั้มชุดนี้ก็จะมีอายุครบ 30 ปีแล้ว

ความสำเร็จของอัลบั้ม Nevermind เป็นเหมือนระเบิดนิวเคลียร์อานุภาพมหาศาลที่เปลี่ยนโฉมหน้าวงการดนตรีร่วมสมัยในยุคนั้นไปอย่างสิ้นเชิง

โดยเฉพาะวงการเพลงร็อกที่ทำให้ซีแอตเติล ซาวด์ และกรันจ์ร็อก ส่งอิทธิพลต่อวงการดนตรีทั่วโลก

รวมถึงประเทศไทยที่ในช่วงกลางยุค 90 มีวงร็อกทางเลือกที่ไม่ขึ้นตรงกับค่ายเพลงระดับเมเจอร์เกิดขึ้นมาอาจจะร่วมร้อยวง พร้อมด้วยการก่อตั้งค่ายเพลงอิสระอีกมากมาย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ศิลปินร็อกยุคโพสต์กรันจ์ (วงร็อกที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีกรันจ์ ที่มีความดิบกร้าวน้อยกว่าและลดทอนซาวด์อันหนักหน่วงแบบเฮฟวี่เมทัลลงอย่างเช่นวง Foo Fighters, Bush และ Collective Soul) ถือเป็นหนี้บุญคุณอัลบั้ม Nevermind

ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายอยู่พอสมควรที่ความโด่งดังในระดับปรากฏการณ์ของ Neveermind ทำให้ In Utero เป็นอัลบั้มที่ได้รับการประเมิณคุณค่าในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐานไปอย่างน่าเสียดาย

แต่ถึงจะอย่างนั้น อัลบั้ม In Utero ก็ผ่านการทดสอบของกาลเวลาที่ผ่านมาเกือบ 3 ทศวรรษ

ทุกวันนี้ทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า In Utero เป็นงานเพลงอัลเทอร์เนทีฟและกรันจ์ร็อกที่ดีไม่แพ้ Nevermind

หรือถ้าหากมองให้ลึกไปกว่านั้นอัลบั้มชุดนี้มีพัฒนาการที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยภาพทางดนตรีของเคิร์ต โคเบน อย่างชัดเจน

ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเพลงที่เหมือนนำเอาด้านที่มืดมิดที่สุดภายใจจิตใจของเคิร์ต โคเบน มาชำแหละให้เห็นกันจะจะ

โดยเดฟ โกรห์ล มือกลองของวงในขณะนั้นเผยว่า

“ทุกๆ ตัวอักษรในเนื้อเพลงมีความเชื่อมโยงกับความเครียดและเรื่องเฮงซวยหลายอย่างที่เคิร์ตเผชิญหน้ามาและต้องแบกรับความรู้สึกนั้นไว้มาทั้งตลอดทั้งชีวิต มันไม่ได้พูดถึงความกังวลสับสนของเด็กวัยรุ่นอีกต่อไป แต่มันพูดถึงความเป็นความตายของชีวิตที่คาบเกี่ยวกันอย่างแยกไม่ออก”

ปกอัลบั้ม In Utero เป็นผลงานการออกแบบของโรเบิร์ต ฟิชเชอร์ ผู้ออกแบบหน้าปกอัลบั้มภายใต้สังกัด DGC ให้กับวง Nirvana มาแล้วทุกชุด

โดยอาร์ตเวิร์กปกหน้าอัลบั้มชุดนี้เป็นภาพของ “หุ่นจำลองอวัยวะภายในร่างกายมนุษย์เพศหญิง”

การใส่ปีกเข้าไปบวกกับท่าทางของหุ่นที่ไม่ต่างไปจากนางฟ้าจำแลง รวมถึงภาพบนปกหลังที่เป็นงานศิลปะคอลลาจที่เคิร์ต โคเบน มีส่วนในการออกแบบด้วยอ้างอิงถึง “เซ็กซ์, ผู้หญิง และช่องคลอด” ซึ่งสื่อถึงการเกิดของตัวอ่อนในครรภ์และความตายที่เคิร์ตมองว่ามันติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่อยู่ในมดลูกเหมือนชื่ออัลบั้ม

ในวัฒนธรรมป๊อป ปัจจุบันเสื้อยืดวินเทจแท้หน้าปกอัลบั้ม In Utero มีราคาขายสูงกว่า 2 หมื่นบาท และอาจจะสูงกว่านั้นถ้าหากอยู่ในสภาพที่ดีมากๆ

และในเวลานี้มีชาวร็อกที่สวมเสื้อยืดหน้าปกอัลบั้ม In Utero มากกว่าหน้าปกอัลบั้ม Nevermind เสียด้วยซ้ำ

วัฒนธรรมป๊อปด้านแฟชั่นดังกล่าวนี้เป็นความจริงเชิงประจักษ์ที่ชี้ให้เห็นว่าชาวร็อกทั่วโลกมองเห็นคุณค่าความสำคัญที่มีต่ออัลบั้มชุดสุดท้ายของวง Nirvana มากกว่าสมัยที่อัลบั้มวางจำหน่ายใหม่ๆ หลายเท่า

 

เจตจำนงของเคิร์ต โคเบน ก็คือการทำอัลบั้ม In Utero แบบดิบๆ ด้วยการบันทึกเสียงในสถานที่เหมาะสมกับตัวเพลงมากกว่าที่จะเน้นการบันทึกเสียงในห้องอัดอย่างเดียว

ส่งผลให้ทางวงบันทึกเสียงกลองเพลง Very Ape และ Tourette ในห้องครัวแทนที่จะเป็นภายในห้องอัด Pachyderm Studio ในเมือง Cannon Falls รัฐ มินเนโซตา ซึ่งเป็นห้องอัดหลักของอัลบั้มชุดนี้

ในส่วนของซาวด์ดนตรีโดยรวมเป็นการผสมผสานของดนตรีร็อกทางเลือกหลากหลายแนวไล่ไปตั้งแต่นอยซ์ร็อก ในแบบวง Melvins, Dinosaur Jr., Sonic Youth

ไปจนถึงวงพังก์ร็อก, ฮาร์ดคอร์ และอาร์ตร็อกที่ได้รับอิทธิพลมาจากวงอย่าง Sonic Youth, The Replacements, แดเนียล จอห์นสตัน, Butthole Surfers, Black Flag, Velvet Underground, Half Japanese และอีกมาก

อานิสงส์ของอัลบั้ม Nevermind ทำให้วงร็อกฝีมือดีที่โด่งดังอยู่ในกลุ่มเล็กๆ ในช่วงปลายยุค 80 และต้นยุค 90 อย่างวง Soundgarden, Pearl Jam, The Flaming Lips และ Alice in Chains กลายเป็นวงที่มีชื่อเสียงในวงกว้างภายในระยะเวลาไม่นาน

วงร็อกใต้ดินที่เคิร์ต โคเบน ชื่นชอบเป็นการส่วนตัวอย่าง Bikini Kill, The Germs, L7 และ The Jesus Lizard ก็ได้มีโอกาสขึ้นโชว์โดยมีแสงสปอตไลต์สาดส่องมากขึ้น

เมื่อวงร็อกอิสระเหล่านี้ได้รับการยอมรับมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เคิร์ต โคเบน ก็ไม่รีรอที่จะเข็นอัลบั้ม In Utero ออกมา

โดยริฟกีตาร์ของเพลง Rape Me มีโครงสร้างคอร์ดที่ใกล้เคียงกับเพลง Smells Like Teen Spirit มาก

จุดประสงค์ก็เพื่อล้อความสำเร็จของซิงเกิลที่โด่งดังที่สุดของวงเพลงนี้

ส่วน Milk It และ Radio Friendly Unit Shifter เป็นเพลงที่เคิร์ต โคเบน แต่งขึ้นเพื่อแทนมุมมองส่วนตัวที่มีต่ออุตสาหกรรมดนตรีที่เต็มไปด้วยการทรยศหักหลัง

และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางดนตรีหรือแม้กระทั่งอุดมการณ์ของวงดนตรีใดก็ตามที่ไม่ตรงตามความต้องการของผู้บริหาร

 

In Utero เป็นงานเพลงที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการนำดนตรีขบถอย่างพังก์ร็อกมาผสมผสานกับดนตรีนอกกระแสอย่าง โล-ไฟ, นอยซ์ร็อก, อาร์ตร็อก หรือแม้กระทั่งสโตนเนอร์ และอื่นๆ

ดรัมมิ่งของเดฟ โกรห์ล เต็มไปด้วยลูกล่อลูกชน, จังหวะเบสของคริส โนโวเซลิก โดดเด่นมากกว่าอัลบั้มชุดก่อนๆ และเสียงฟีดแบ็กจากกีตาร์รวมถึงการสร้างสรรค์ซาวด์ดนตรีจากเส้นลวดหกสายอยู่ในระดับฟ้าประทาน

ส่วนเสียงร้อง เคิร์ต โคเบน ก็ออกมาจากความมืดหม่นที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใต้สำนึก

กล่าวโดยสรุปก็คือ In Utero เป็นงานเพลงที่พาผู้ฟังดำดิ่งไปในความฝันอันคาดเดาไม่ได้ที่อยู่ในห้วงลึกที่สุดภายในจิตวิญญาณของเคิร์ต โคเบน

เป็นเรื่องน่าเศร้าและน่าเสียดายที่เคิร์ต โคเบน ที่ทนทุกข์ทรมานกับความมืดหม่นของชีวิตมาอย่างยาวนานตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรมในวันที่ 5 เมษายน ปี 1994 ไม่กี่เดือนหลังจากที่อัลบั้ม In Utero วางจำหน่าย

ความตายของเคิร์ต โคเบน ทำให้เขาอยู่ในสถานะหนึ่งในศิลปินร็อกแอนด์โรลที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล

แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดต่อว่าถ้าหากว่าเขายังมีชีวิตอยู่ งานเพลงชุดต่อไปของวง Nirvana หรืองานเพลงเดี่ยวของเขาจะออกมาเป็นเช่นไร

เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ได้แน่ชัด แต่ที่บอกได้แน่ๆ ก็คือ ด้วยวิสัยทัศน์การทำงานเพลงที่ไม่ต่างไปจากการสร้างระบบสุริยจักรวาลของตัวเอง งานเพลงในอนาคตของเขาจะก่อให้เกิดดาวบริวารจำนวนนับไม่ถ้วนที่โคจรรอบดาวฤกษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดดวงหนึ่งในเอกภพแห่งวงการดนตรีดวงนี้อย่างแน่นอน