พลังโต๊ะจีน 510 ล้าน เพิ่ม ‘แรง’ บันดาล ‘พี่ป้อม’ ลุ้น 150 ส.ส. สู่นายกฯ คนที่ 30

ผ่านพ้นไปเรียบร้อยกับอีกหนึ่งอีเวนต์ชิงการนำทางการเมืองของพี่ใหญ่กลุ่ม 3 ป.

เมื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) สั่งแกนนำพรรคร่วมกันจัดงาน ระดมทุน ภายใต้ชื่องาน “พลังประชารัฐ ใจบันดาลแรง” ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอกแอนด์คอนเวนชั่น เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา

โดยมีแกนนำพรรค ส.ส. สมาชิกพรรค รวมทั้งผู้สนับสนุนเข้าร่วมงานระดมทุนกันอย่างคึกคักจำนวน 170 โต๊ะ ในสนนราคาโต๊ะละ 3 ล้านบาท ด้วยเมนูอาหารไทย ประกอบด้วย ยำส้มโอทับทิมสยาม กับไก่ฉีกออร์แกนิก, กระทงทองไก่, ข้าวเกรียบปากหม้อนครชัยศรี, ซุปต้มยำกุ้งลายเสือ จากนครศรีธรรมราช, ปลากะพงบางปะกง อบสมุนไพรเสิร์ฟกับมันฝรั่งบดและผักบ๊อกฉ่อย ออร์แกนิก อาหารหวาน มูสมะม่วงแปดริ้วกับครีมมะพร้าวสดทับสะแก กับสไตล์ทาร์ตกรอบ ราดซอสเสาวรส จากโครงการหลวง เสิร์ฟคู่กับจ่ามงกุฎสไตล์ชาววังดั้งเดิม

คว้าเงินจากการระดมทุนกลมๆ อยู่ที่ 510 ล้านบาท แซงหน้าพรรคอื่นๆ ไปก่อน

แกนนำพรรค พปชร.ที่เข้าร่วมงานดังกล่าวก็เหมือนเป็นการเช็กชื่อกันไปในตัวว่า กลุ่มใด มุ้งไหน พร้อมที่จะไปต่อกับ “บิ๊กป้อม” ในการเลือกตั้งครั้งหน้าบ้าง

ทั้ง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค

กลุ่มสามมิตร อาทิ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายอภิชัย เตชะอุบล แกนนำพรรค นายวราเทพ รัตนากร แกนนำกลุ่มกำแพงเพชร

ขณะเดียวกัน พรรค พปชร.แก้เกมด้วยการไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อนายทุนและสปอนเซอร์ผู้ร่วมบริจาคผ่านสื่อ โดยจะแจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้เปิดเผยเรื่องรายละเอียดการจัดงานระดมทุนของพรรคภายในเวลา 30 วัน

แต่วงในคาดเดากันได้ไม่ยากว่า สปอนเซอร์ที่ร่วมสนับสนุนจองโต๊ะในงานระดมทุนวันดังกล่าวนั้น นอกจากกลุ่มนายทุนใหญ่เจ้าประจำ

ยังมีพรรคร่วมรัฐบาลส่งตัวแทนเข้ามาร่วมดินเนอร์เชื่อมสัมพันธ์กัน เพื่อส่งนัยยะว่ายังจับมือกันไว้เหมือนเดิม หากมีการรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง

 

ไฮไลต์ของงานระดมทุนในค่ำคืนดังกล่าว คือ การขึ้นเวทีเปิดใจของ “พล.อ.ประวิตร” ถึงแรงบันดาลใจผ่านวลีเด็ด “ใจบันดาลแรง” ว่า เนื่องจากสังขารมันร่วงโรยมามาก ต้องอาศัยจิตใจ ต้องเอาใจบันดาลแรง เพื่อให้มีกำลังใจ มีแรงทำงานต่อไป ทำให้ใจมาก่อน แล้วแรงมาทีหลัง ตอนพูดไปก็รู้สึกใจฟู

ส่วนที่หลายคนรวมทั้งสื่อมวลชนติดใจผ่านการตอบคำถามว่าไม่รู้ๆ นั้น พล.อ.ประวิตรระบุว่า ไม่รู้ไม่มีแล้ว และที่ตอบว่าไม่รู้คือไม่รู้จริงๆ แต่ความจริงอาจจะรู้ แต่ที่ตอบว่าไม่รู้เพราะมีผู้ที่รู้มากกว่า ต้องให้คนที่รู้มาแนะนำสั่งสอนว่าทำงานอย่างไร จะได้รู้เท่ากับคนที่รู้ คนที่รู้มีอยู่รอบตัวตนเต็มไปหมด จะได้นำความรู้มาใส่ตัวเท่าที่จะทำได้ วันนี้รู้แล้ว พร้อมแล้ว

ขณะที่แรงบันดาลใจในการเดินหน้าต่อทางการเมืองรวมทั้งความสัมพันธ์ของ “กลุ่ม 3 ป.” พี่ใหญ่ของกลุ่ม 3 ป. เปิดใจว่า อยู่ด้วยกัน 3 คนมาอย่างยาวนานตั้งแต่ตน เป็น ผบ.ร้อย ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานเพื่อประเทศชาติและกองทัพมาโดยตลอด เติบโตกันมาจนกระทั่งตนเป็นผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 เมื่อเกษียณจากผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 พล.อ.อนุพงษ์เป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ.

ส่วนตนก็ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เคยอยู่บ้านเดียวกัน นอนห้องเดียวกัน 3 คน จึงเรียกได้ว่ามีความสนิทสนมเป็นกันเองอย่างพี่อย่างน้อง ไม่มีอะไรที่แยกจากกันได้จากความเป็นพี่เป็นน้อง เมื่อเปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักการเมืองจะไปคนละทาง แต่ก็แยกเฉพาะการเมือง เพราะการเมืองอาจเห็นไม่เหมือนกันได้ สำหรับสิ่งที่อยากจะแก้ไขที่สุดคือเรื่องปัญหาความยากจนทั้งชาวนาชาวไร่เกษตรกร คนหาเช้ากินค่ำ เป็นกลุ่มที่เราต้องดูแลให้อยู่ให้ได้เพื่อให้ประเทศก้าวหน้าต่อไป

สำหรับคำถามไฮไลต์ คือ พร้อมหรือไม่กับการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่ง พล.อ.ประวิตรตอบแบบไม่เขินอายว่า “ถ้าถามว่าผมพร้อมไหม ผมก็ต้องพร้อม แต่จะได้หรือไม่ได้อยู่ที่ประชาชน ถ้าประชาชนเลือกผมก็พร้อมและยินดีที่จะทำ แต่ถ้าไม่เลือกผมก็กลับบ้าน วันนี้รู้แล้ว พร้อมแล้ว ผมพร้อม พร้อมที่จะเป็นนายกฯ แต่อยู่ที่คนเลือกนะครับ”

 

ชัดเจนว่า ด้วยการเดินหน้าชิงการนำทางการเมืองของพรรค พปชร. ที่นำโดย พล.อ.ประวิตร ทั้งการจัดทัพผู้สมัคร ส.ส. ที่ยังตรึงกลุ่มบ้านใหญ่ และผู้นำขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในหลายจังหวัดซึ่งเป็นฐานที่มั่นให้พรรค พปชร.สามารถรักษาที่นั่ง ส.ส.ให้ได้ไม่น้อยไปกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่ได้ ส.ส.มาถึง 116 เสียง

แต่เป้าหมายในการเลือกตั้งปี 2566 นี้ ด้วยการเดินหน้าเสริมทัพอย่างเต็มที่ ทั้งกระสุนและกระแส รวมทั้งได้ขุนพลอย่าง พล.อ.วิชญ์ รวมทั้งนายอุตตม สาวนายน อดีตหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตเลขาธิการพรรค สอท. มาช่วยเสริมจุดแข็งในทีมเศรษฐกิจ

ทำให้เลขาธิการพรรค พปชร.อย่าง “สันติ พร้อมพัฒน์” บอกอย่างมั่นใจถึงเป้าหมายที่นั่ง ส.ส.ของพรรค พปชร.ว่า “ของเก่าเคยได้ 116 ที่นั่ง แต่ตั้งเป้าครั้งนี้จะได้ไม่ต่ำกว่า 150 ที่นั่ง วันนี้พรรค พปชร.มีผู้อาวุโส ผู้ที่มีความตั้งใจจะมาพัฒนาบ้านเมืองให้ประชาชนอยู่ดี มีงานทำ หลายคนกำลังจะเข้ามาร่วมกับเรา ร่วมใจกันพัฒนาประเทศ”

แน่นอนแม้การเดินหน้าของพรรค พปชร.ต้องเผชิญกับการแย่งเสียงจากขั้วอนุรักษนิยม กลุ่มเดียวกันอย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ชูน้องเล็กของกลุ่ม 3 ป. อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ครั้งหน้า

แต่ในทางการเมืองเมื่อลงสนามเลือกตั้งแล้ว เรื่องของพี่น้องก็เป็นอีกเรื่อง เพราะพรรค พปชร.ต่างชูเป้าหมายเดียวกัน คือ ร่วมกันเดินหน้าผลักดันเจ้าของวลี “ใจบันดาล” อย่าง พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 30 ให้ได้