ป๊าดด… อย่า ‘ปาด’ อย่า ‘ผวน’ รวมไทยสร้างชาติ

ที่จริงเรื่องการผวนชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ มีการพูดกันมานานแล้ว แต่เป็นแนวเล่าถึงขำๆ ในโลกโซเชียล

แต่ไม่รู้ว่า วันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) นึกเล่นแผลงอะไร สัปดาห์ที่ผ่านมา จู่ๆ ก็ออกมาพูดเรื่องการผวนชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่าเป็น “รวมทาสสร้างชัย” ฮือฮา เช้าวันต่อมากลายเป็นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง

วันชัยให้เหตุผลว่าปกติการตั้งชื่อคนหรือชื่อพรรคการเมือง ก็ควรจะต้องตั้งชื่อที่มีความหมายเป็นมงคล ตามหลักเลขศาสตร์และโหราศาสตร์ รวมตามคำและอักษรแล้ว “จะต้องเป็นศรี เป็นเดช” คำทางตรงและคำผวนของชื่อ ต้องไม่เป็นอัปมงคล

วันชัยบอกว่าเมื่อลองเอาชื่อพรรคการเมืองมาคิดตามหลักที่กล่าวมาแล้ว พบว่าพรรคที่แปลกมหัศจรรย์พันธุ์ลึกคือ “รวมไทยสร้างชาติ” ผวนแล้วเป็น “รวมทาสสร้างชัย” แบบนี้มันจะไปไหวหรือ

จะรวมธาตุไปสู้กับใครทำไมมันบรรจงลงตัวที่ชื่อนี้

 

น่าคิดไม่น้อย เพราะวันชัยคือ ส.ว.ผู้เคยเป็นข่าวดังจากคลิปที่ตัวเองไปพูดอ้างว่าเป็นคนเขียนในรัฐธรรมนูญให้ ส.ว.เลือกนายกฯ ได้ไว้ในบทเฉพาะกาล บรรจุเป็นคำถามพ่วงในการลงประชามติ อารมณ์คล้ายกับเป็นผู้มีส่วนสำคัญให้กำเนิดประยุทธ์

แต่บทบาทของวันชัยช่วงปีที่ผ่านมาสะท้อนอาการตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นการออกมาพูดเชียร์บทบาทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งนายกฯ แทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หาก พล.อ.ประยุทธ์สะดุดปม 8 ปี และเด่นชัดมากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา วันชัยเขียนเชียร์ พล.อ.ประวิตร แบบไม่เขินอาย ยก พล.อ.ประวิตรเหมาะเป็นนายกฯ เพราะเป็นผู้ประสานสิบทิศ

วันชัยยังฟันธงว่า พลังประชารัฐโดย พล.อ.ประวิตร จะเป็นผู้จัดการตั้งรัฐบาลและเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งแน่นอน ขณะเดียวกันก็เขียนเรื่องดวงเมือง ว่า หลังเมษายน 2566 ราหูเข้าอำนาจเก่าถูกขยี้ พล.อ.ประยุทธ์จะเต็มไปด้วยจุดอ่อนและถูกกระแทก

เรื่องคำผวนของวันชัย ฝ่ายตรงข้ามอาจจะตลกขบขัน แต่ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์และพลพรรคคงไม่ตลกด้วย

 

ขณะที่การเคลื่อนไหวของฝั่งพี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หลังจากส่งสัญญาณแยกกันเดินทางการเมืองกับ พล.อ.ประยุทธ์ชัดเจน จากกรณีจดหมายเปิดใจตัดพ้อว่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ทุกอย่าง แต่ก็ถูกน้องรักทิ้งไว้กลางทาง หนีไปตั้งพรรคใหม่ จึงขอประกาศเดินหน้าพาชาวพลังประชารัฐสู้ศึกเลือกตั้ง ใช้ใจบันดาลแรง ขึ้นเหนือล่องใต้ไม่เว้นแต่ละวัน ท่ามกลางการกลับมาช่วยงานอย่างอบอุ่นของลูกรัก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ค่อยสบอารมณ์ด้วย

พลังประชารัฐในยุคตัดขาด พล.อ.ประยุทธ์ จึงชูยุทธศาสตร์ใหม่ ดัน พล.อ.ประวิตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 พร้อมกับเดินเกมสกัดการไหลออกของ ส.ส.พลังประชารัฐ ตาม พล.อ.ประยุทธ์ไปอยู่รวมไทยสร้างชาติ

นับตั้งแต่การลากิจของ พล.อ.ประวิตร ในการประชุม ครม. อ้างว่ามีอาการป่วย อ่อนเพลีย ผลจากการหักโหมลงพื้นที่อย่างหนักจากทริปพะเยา-ลำปาง แต่วันเดียวกันกลับปรากฏภาพการขนทีมพลังประชารัฐทัพใหญ่ไปราชบุรี อ้อนกำนันตุ้ย-วิวัฒน์ นิติกาญจนา นายก อบจ.คนดัง พร้อมส่งสัญญานขอให้ ส.ส.ในสังกัดอย่าไปไหน อยู่กับพลังประชารัฐต่อ ตัดหน้า พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะมาลงพื้นที่ตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าคือ 19 มกราคม

นี่คืออาการปาดหน้าเค้กชัดเจน ว่ากันว่ากำนันตุ้ยมีผู้สมัคร ส.ส.เกรดเอ อยู่ในมือถึง 4 คน การบุกมาเยือนของ พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นที่รู้ๆ กันว่าไม่ใช่เรื่องงานเป็นหลัก แต่คือการมาจีบกลุ่มกำนันตุ้ยไปอยู่กับรวมไทยสร้างชาตินั่นเอง

งานนี้มีหรือพี่ใหญ่ ป.ประวิตร จะยอม ต้องสู้กันในศึกปาดหน้าชิงตัวบุคคลกันซักหน่อย

ตามมาด้วยการสวมเสื้อแดง แจ๊กเก็ตสีเขียว ใส่กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส บุกเยาวราช เมื่อวันที่ 22 มกราคม ไหว้เจ้าแม่กวนอิม ทำบุญวันตรุษจีน ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยมีประชาชนเข้ามาทักทายถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ที่ไปเยือนเยาวราช พร้อมขนผู้สมัคร-ทีมงานรวมไทยสร้างชาติไปด้วยจำนวนมากในช่วงเย็นวันเดียวกัน แบบนี้ไม่เรียกว่า แซงคิว-แย่งซีน จะเรียกอะไร

ไม่นับว่าการไปเยาวราชของบิ๊กตู่ แม้จะมีเสียงตะโกนสู้ๆ แต่ก็มิวายเจอดี โดนวัยรุ่นตะโกนไล่ขณะกำลังให้สัมภาษณ์สื่อเรื่องการท่องเที่ยวว่า เมื่อไหร่ลุงตู่จะออกไปซะที ด่าว่าหลอกลวงประชาชน ไหนบอกไม่เล่นการเมือง

ในมุม พล.อ.ประยุทธ์ แทนที่จะมีข่าวดีๆ เรื่องการลงพื้นที่พบปะชาวไทยเชื้อสายจีน กลับเจอข่าว พล.อ.ประวิตรมาปาดหน้า ตามด้วยข่าวเจอคนไล่-รถบีบแตรไล่อีก แบบนี้ก็เซ็งไม่น้อย

ถัดจากเยาวราช พล.อ.ประยุทธ์ก็มีกำหนดการลงพื้นที่ จ.ชุมพร และจะมีการปราศรัยเป็นเวทีแรก วันที่ 28 มกราคมนี้ แต่ก็พบกำหนดการของ พล.อ.ประวิตร ลงพื้นที่ จ.ชุมพร ในวันเดียวกันเช่นกัน

มีข่าวว่า ตอนแรกพรรครวมไทยสร้างชาติกำหนดการปราศรัยที่สนามหน้าที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดชุมพร เวลา 10.00-12.00 น. แต่หลังจากมีข่าวว่า พล.อ.ประวิตรจะลงพื้นที่ จ.ชุมพรในช่วงเช้า จึงมีการปรับแผนโดยเปลี่ยนเวลาเป็นช่วงเย็น เริ่มเปิดเวทีตั้งแต่เวลา 17.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีปราศรัยครั้งแรก ในเวลาประมาณ 18.45 น.

นี่คืออาการปาดหน้าชิงลงพื้นที่ของพี่ใหญ่อีกครั้ง

 

ยังไม่นับอาการปาดหน้าเรื่องนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นการออกมาพูดเรื่องบัตรคนจน ชูเป็นจุดขายของพลังประชารัฐเฟสใหม่ เพิ่มตัวเลขเป็น 700 บาทต่อเดือน ร้อนจนรัฐมนตรีกองเชียร์บิ๊กตู่ต้องออกมากันซีน ชี้ว่า ไอเดียบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มันของบิ๊กตู่ชัดๆ

จากปาดหน้าชิงเก้าอี้นายกฯ คนที่ 30 สู่การปาดหน้าชิงตัวผู้สมัคร ส.ส.เกรดเอ ที่ถึงปัจจุบันก็ยังสู้ดึงตัวกันดุเดือด สู่การปาดหน้าลงพื้นที่ไม่เว้นแต่ละวัน ด้วยอิทธิฤทธิ์ “ใจบันดาลแรง” ของพี่ใหญ่ ไปจนถึงปาดหน้าเรื่องนโยบาย ไม่ให้ตั้งฉายาเรียก พล.อ.ประวิตรว่าเป็น “พี่ใหญ่นักปาด” จะให้เรียกว่าอะไร

อาการมันเลยออก 23 มกราคม หลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์นำประชุม นักข่าวทำเนียบพยายามถาม พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งเรื่องคำผวน ส.ว.วันชัย และเรื่องพี่ใหญ่นักปาด พล.อ.ประยุทธ์เลี่ยงไม่ตอบคำถามในช่วงแรก หลังประชุมเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์เดินลงมาพร้อมกระดาษ 1 แผ่น เมื่อมาถึงโพเดียม พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวเพียงสั้นๆ อย่างกระแทกกระทั้น พร้อมวางเอกสารผลการประชุมบนโพเดียมเสียงดังว่า

“สวัสดีครับ การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เสร็จสิ้นลงทุกอย่างเป็นไปตามเอกสารแถลงข่าวฉบับนี้” จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินออกจากโพเดียม ขึ้นรถกลับออกไปทันที

ท่ามกลางเสียง “อ้าว” ของนักข่าวทำเนียบที่ส่งเสียงพร้อมๆ กัน ใครไม่เคยเห็นอาจแปลกใจ แต่นักข่าวทำเนียบคุ้นมุขแบบนี้ดี ว่านี่คืออาการโกรธ ไม่พอใจ สไตล์ประยุทธ์

เช่นเดียวกับการแถลงข่าวหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์แสดงท่าทีหงุดหงิด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ มีความความตั้งใจที่จะอยู่ครบเทอมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์เมินหน้าหนี พร้อมกล่าวว่า ถามคำถามอื่น และถึงกับอารมณ์เสีย เมื่อสื่อถามถึงเรื่องความคืบหน้าคดีตู้ห่าว หรืออาการปรี๊ดแตกใส่สื่อ พร้อมสั่งว่าอย่าพูดถึงชื่อทักษิณให้ได้ยิน แล้วเดินออกจากโพเดียมทันที

 

อาการเหล่านี้เกิดขึ้น 2-3 วันมานี้เอง ท่ามกลางข่าวพี่ใหญ่ปาดหน้า แน่นอนว่าอาการปาดหน้ายังไม่จบ และยังมีไปอย่างต่อเนื่องสลับกับการพยายามสยบข่าวไม่ได้มีอาการระหองระแหงอะไรกันไปเช่นนี้ จนกว่าจะจบเลือกตั้ง

พี่ใหญ่ประวิตรยังคงเดินเกมหนัก เดินหน้าเปิดตัวพรวดเดียว 71 คน โชว์ตระกูลการเมืองดังหลายจังหวัด ที่ยังคงภักดี อยู่ภายใต้ชายคาพลังประชารัฐ เปิดตัวนักการเมืองรุ่นใหม่อีกหลายคน พร้อมทัพแกนนำพลังประชารัฐทัพใหญ่สู้ศึกเลือกตั้ง ตัดหน้า พล.อ.ประยุทธ์อีกรอบ ด้วยการประกาศเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรกที่เขต “ป้อมปราบศัตรูพ่าย” จนเรียกเสียงฮือฮาจากผู้สมัคร เพราะล้อมาจากชื่อเล่นของ พล.อ.ประวิตร และยังเป็นชื่อมงคลที่ปราบศัตรูพ่ายหมด

ไม่รู้ว่าใครเป็นเบื้องหลังในการคิดเรื่องชื่อ แต่ต้องยอมรับว่าร้ายกาจไม่เบา กับการยกประเด็นนี้ขึ้นในห้วงขณะที่ชื่อพรรคบิ๊กตู่กำลังถูก ส.ว.วันชัยแซวเรื่องคำผวนว่า “รวมทาสสร้างชัย”

 

จากความชัดเจนของการแข่งกันทางการเมืองในบริบท ที่ 3 ป. ไม่เหมือนเดิม พรรคทหารไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวในการต่อสู้กับฝั่งตรงข้าม แต่เป็นยุทธศาสตร์รักกันอยู่ แต่แข่งกัน แยกทางกันสร้างคะแนนก่อน เพื่อวัดพลังกันว่าใครควรจะได้เป็น “นายกรัฐมนตรี” มากกว่ากัน ระหว่างพี่ใหญ่ ป.ประวิตร กับน้องตู่ ป.ประยุทธ์ สนามเลือกตั้ง 2566 ครั้งนี้จึงร้อนแรงอย่างยิ่ง น่าจับตา

แม้ไม่สามารถคิดแบบโรแมนติกกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะเสียงของ ส.ว. 250 เสียงยังคงมีอำนาจอยู่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่สำหรับฝ่ายค้าน การเลือกตั้งครั้งนี้ก็นับเป็นความหวังเดียวที่จะใช้ระบบการเมืองล้ม พล.อ.ประยุทธ์ลงจากอำนาจให้ได้

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผู้นำจากประเทศเพื่อนบ้านที่เกิดขึ้นติดๆ กัน ทั้งลาว เวียดนาม หรือกรณีล่าสุดนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์คนดัง จาซินดา อาร์เดิร์น ที่ลงจากตำแหน่งแม้ยังไม่หมดสมัย ด้วยเหตุผลที่ยอมรับว่าหมดพลังในการทำงาน หากยิ่งอยู่จะยิ่งทำร้ายประเทศ จึงขอทิ้งเก้าอี้เพื่อส่งต่อหน้าที่ให้คนอื่น นับว่าน่าชื่นชมในสปิริตยิ่ง

ส่วนในเมืองไทย ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์กำลังจะสร้างสถิติใหม่ เป็นนายกฯ ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ในประวัติศาสตร์ไทย แซง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ โดยหากนับนายกฯ ที่ดำรงตำแหน่งติดต่อกันยาวนานที่สุดโดยไม่มีเว้นวรรค พล.อ.ประยุทธ์ก็จะขึ้นเป็นลำดับที่ 1 ทันที

ยาวนานขนาดนี้ ใครจะทนไหว ขนาดศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเรื่องวาระมาแล้ว ก็ยังจะแข่งต่อ (ส.ว.กองเชียร์บอกเดี๋ยวแก้รัฐธรรมนูญขยายวาระให้) นอกจากฝ่ายค้านจะไม่ทนแล้ว พี่ใหญ่ ป.ประวิตร และเครือข่าย ก็จะไม่ทน

มหกรรมการ “ปาด” จึงเกิดขึ้น และจะร้อนแรงแหลมคม หนักขึ้นเรื่อยๆ ด้วยประการเช่นนี้แล