หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๖๐)

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ | ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๖๐)

 

มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับคนจีน เป็นสิ่งเล็กๆ ที่มองเกือบไม่เห็น แต่อยู่ตรงนั้น และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด

สิ่งนั้นคือ “กัว” หรือระบบราชการของจีน ซึ่งแตกต่างจากชนชาติอื่น

แต่ “กัว” ตัวนี้เอง ที่ปกครองเมืองจีนมาช้านาน นับพันปี เมืองจีนมีราชวงศ์ต่างๆ ปกครอง ซึ่งหากนับไปแล้ว ใหญ่เล็กมีหลายสิบราชวงศ์ หากนับฮ่องเต้ ใหญ่เล็กก็มีหลายร้อยองค์ แต่ระบบ “กัว” นี้มีเพียงหนึ่งเดียว สืบเนื่องมาอย่างยาวนาน

และที่น่าทึ่งคือ แม้แต่วันนี้ ระบอบคอมมิวนิสต์ของจีนก็เรียกได้ว่า เป็นระบบ “กัว” ที่ปรับตัวใหม่ แต่มันคือกระดูกสันหลังของจีน

ระบบ “กัว” นี้ เริ่มต้นขึ้นในราชวงศ์ถัง (690-907) หรือในศตวรรษที่เจ็ด คือมีระบบการสอบบัณฑิตขงจื้อ ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ และต่อเนื่องมาเรื่อยไม่ขาดตอน มันเปลี่ยนระบบราชการของจีนเลยทีเดียว เพราะข้าราชการของจีนจะต้องผ่านระบบการสอบนี้ก่อน

และเมื่อได้รับราชการแล้ว ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปเลย คือได้ทั้งอำนาจและลาภยศ เท่ากับว่าคนจีนหนึ่งคน ไม่ว่าจะเป็นใคร หากสอบผ่านแล้ว ก็จะได้เข้าสู่อีกชนชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นชนชั้นสูง อาจไม่ใช่สูงที่สุด แต่ก็สูงมาก สุขสบาย

มันไม่ใช่ชนชั้นลอยๆ ที่แค่เสพสุข แต่เป็นชนชั้นที่มีงานทำด้วย เป็นงานสำคัญ นั่นคือการบริหารประเทศ เรียกว่าได้ทั้งงานและเงิน และได้เมียสาวสวยๆ อีกต่างหาก

อีกทั้งยังสามารถฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ เรียกว่าได้ทั้งกามและชื่อเสียง ดังนั้น ระบบ “กัว” จึงเป็นดั่งความฝันอันสูงสุด

ความแปลกคือ ระบบ “กัว” นี้คือตัวมันเอง ท้ายที่สุดแล้ว มันเหมือนมีชีวิตโดยตัวมันเอง มันไม่ได้ขึ้นกับองค์ฮ่องเต้ ไม่ได้ขึ้นกับราชวงศ์ ไม่ได้ขึ้นแม้กับประเทศ มันลอยตัวเหนือทุกสิ่ง

หมายถึง หากเปลี่ยนฮ่องเต้ คุณก็ยังสามารถเป็น “กัว” ต่อไป

ต่อให้มีสงครามใหญ่รบกันห้าสิบปี จนเปลี่ยนราชวงศ์ ระบบ “กัว” ก็ยังอยู่ คุณก็ยังรับราชการต่อไป ด้วยเพราะทุกราชวงศ์ขาด “กัว” ไม่ได้ แต่ “กัว” ไม่สนใจว่าใครจะมาเป็นฮ่องเต้

มองแบบนี้จะเห็นว่าระบบ “กัว” จึงเป็นผู้ครองเมืองจีนตัวจริง ยาวนานมาถึงวันนี้ หรือพันกว่าปีแล้ว และยังดำเนินต่อไป เพียงแต่เปลี่ยนรูป นี้เป็นมุมมองที่น่าทึ่งเป็นอันมาก

 

พรรคคอมมิวนิสต์ที่จริงคือระบบกัว ที่ปรับตัวใหม่ หากเรามองเช่นนี้ เราจะเข้าใจพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

คำถาม ในอดีต คนที่สอบผ่าน และได้เข้าสู่ระบบ “กัว” จะซื่อสัตย์ต่อใคร คำตอบคือ พวกเขาจะซื่อสัตย์ต่อตัวระบบเอง ซึ่งก็คือตัวเอง ดังนั้น ระบบ “กัว” จึงแข็งแกร่งยิ่งนัก เข้าลึกในจิตสำนึกของคนจีน ด้วยความไม่เหมือนใครในโลก มันจึงกลายเป็นลักษณะเด่นของคนจีน ลี้ลับ ซ่อนตัวอยู่ใน DNA กลายเป็นกระดูกสันหลัง ซ้อนกระดูกสันหลังจริงอีกทีหนึ่ง

มันเริ่มต้นจากระบบขงจื้อ แต่ด้วยความที่มันเป็นระบบ มันจึงไม่ใช่ลัทธิขงจื้อ มันยืมนามธรรมของลัทธิขงจื้อมาใช้ เหมือนขงจื้อเองก็ยืมนามธรรมของคนโบราณอื่นๆ มาใช้เช่นกัน และปรับตัวเองตลอดเวลา

จริงอยู่หากมองจากภายนอก มันช่างดักดานเหลือแสน ช่างไม่ไปไหนเลย แต่หากมองจากระบบ มันไม่สนใจสิ่งอื่นใดเลย ไม่สนใจความถูกผิด ไม่สนใจความเก่าใหม่ มันสนใจแค่ความมีสุขภาพดีของระบบ

มันจึงเหมือนกาฝาก ที่สนใจแต่ความเจริญเติบโตของตัวเอง สนใจแต่ว่า ตัวเองสุขภาพดีไหม ต้นไม้ที่มันเกาะอยู่ จะอยู่หรือตาย เป็นเรื่องรอง

มันปรับเปลี่ยนลัทธิขงจื้อ แต่ยังอิงอาศัยนามธรรมของขงจื้ออย่างยาวนาน แต่เนื้อในอาจปรับจนไม่เหมือนเท่าไร อาจแข็งกว่า อาจเก่ากว่า เลยไปไกลกว่า แล้วแต่ที่มันเห็นควร

จวบจนวันหนึ่งชาติจีนเผชิญหน้าปัญหาเกี่ยวกับความอยู่รอด มันก็ปรับนามธรรมเสียใหม่ คราวนี้มันใช้นามคอมมิวนิสต์ ซึ่งโดยนาม แตกต่างจากลัทธิขงจื้อเป็นอันมาก อีกทั้งบัดนี้ ไม่มีการสอบต่อหน้าองค์จักรพรรดิอีกแล้ว มันถูกยกเลิกนานมาแล้ว แต่ระบบ “กัว” มีอายุยืนยาวมากแล้ว มันได้แปรรูป กลายพันธุ์ จนจำแทบไม่ได้ แต่ทว่า มันกลับยังเป็นตัวเดิม

น่าทึ่งยิ่งนัก ที่ครั้งหนึ่งคุณเคยแต่งกายแบบบัณฑิตขงจื้อ พูดจาตามขนบ และวันหนึ่งคุณแต่งกายแบบคนสมัยใหม่ ใส่สูท ผูกเน็กไท และพูดจาแบบคอมมิวนิสต์ พูดกันคนละเรื่อง แต่ตัวคุณไม่เปลี่ยน ด้วยนี้คือระบบ “กัว” ที่แปรรูป สิ่งที่แปรรูป แต่ไม่เปลี่ยนตัวตนข้างใน น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

และตัวตนข้างในก็ลึกซึ้งจนหยั่งเดาไม่ได้ ว่าหน้าตาของมันจริงๆ แล้วคืออะไร

 

๑๐

นี้คือ Nucleus ของคนจีนจริงๆ เมื่อเห็นแล้วตกตะลึง ไม่มีชาติไหนเหมือน ไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครอาจเลียนแบบ ไม่ว่าคุณจะเป็นรัสเซีย อินเดีย อเมริกา เยอรมัน หรือไทย ฯลฯ ชาติที่ทำได้ใกล้เคียงที่สุด คือเกาหลี ด้วยเพราะเกาหลีก็เคยมีระบบ “กัว” เช่นกัน แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น มวลไม่ถึง มันก็ยังไม่จริงหรือลึกซึ้งเท่าคนจีน

๑๑

ในเมืองจีน จึงมีพรรคคอมมิวนิสต์ที่ยิ่งใหญ่ มองเผินๆ เหมือนมันเพิ่งมีอายุ ๑๐๐ ปี แต่ที่จริงมันมีอายุยืนยาวกว่านั้นมาก มันสืบทอดระบบ การสืบทอดนี้ ไม่ง่ายเลย

แต่ทว่า เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันก็แน่นิ่ง แข็งแกร่ง อย่าไปติดยึดในลัทธิ หรืออุดมการณ์ใดๆ

วันนี้ระบบ “กัว” จะใช้นามธรรมเหล่านี้เป็นที่อาศัย แต่วันหนึ่งมันก็อาจเปลี่ยนใหม่ ไปสู่นามธรรมอื่น แต่ระบบ “กัว” นี้ จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะล้มลง

๑๒

หากเปรียบไป ประเทศจีนนี้คือรวงผึ้งขนาดใหญ่ ระบบ “กัว” คือผึ้งงานชนิดหนึ่ง ที่ทำงานสำคัญ มันสร้างและดูแลราชินี แต่ราชินีนี้ก็เปลี่ยนได้ หากจำเป็น ราชินีอาจอยู่ได้นานสี่ปีหรือแปดปี หรือยี่สิบปี แล้วแต่โอกาส

แต่สิ่งที่ใหญ่กว่า คือตัวระบบเอง ด้วยเพราะมันเป็นนามธรรม เราอาจไม่ยอมรับมัน มองข้ามมันเสีย หันมาถกกันด้วยเหตุผลดีกว่า

แต่ทว่า เหตุผลที่ถกนี้ สักครู่ก็จะเจอ Gap ซึ่งคือช่องโหว่ของเหตุผล ซึ่งก็คือความไร้เหตุผลนั่นเอง มันจะปรากฏขึ้นเป็นระยะๆ สอดแทรก ขัดขวาง เหมือนอยู่ๆ คุณก็จะมาเจอสมการที่มีความยาวแปดสิบบรรทัด และแต่ละบรรทัดมีสิ่งที่คุณไม่รู้สองสามสิ่ง

ท้ายที่สุดระบบเหตุผลที่ดูดีมาก ก็ล้มละลาย ที่ถกมาทั้งหมดก็คือการเสียเวลาเปล่า

๑๓

สมมุติคุณเป็นไต้หวัน และกำลังจะไปสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน คุณอยากถกเหตุผล แต่ทว่า ระบบ “กัว” นี้ตัวมันจริงๆ ไม่ได้มีเหตุผล แม้แต่ใช้ปรัชญาของลัทธิคอมมิวนิสต์เองมาถกก็ไม่ได้ เพราะตัวระบบเองก็ไม่ได้ขึ้นกับลัทธินี้ มันเป็นเพียงข้ออ้าง หากจำเป็น มันก็พร้อมจะทิ้งความคิดของคอมมิวนิสต์ ที่คุณกำลังเผชิญอยู่จริงๆ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีนามว่า “กัว” มันเร้นลับ น่ากลัวเหมือนหนังสยองขวัญ แปลกเหมือนหนังเอเลี่ยน แต่มันไม่เพียงแต่จริง มันจริงมาแล้วพันกว่าปี

๑๔

คุณอยากถกก็ถกไป อยากเถียงก็เถียงไป อยากใช้เหตุผลก็ใช้ แต่ท้ายสุดทุกอย่างก็จะกลายเป็นโวหาร มีไว้วิ่งไปวิ่งมา หากแต่ไร้มวล เป็นเพียงแค่แสงหิ่งห้อยในยามค่ำคืน

หากแต่ “กัว” มันคืองูเหลือมยักษ์ ลำตัวยาวเหยียด พาดตัวอยู่บนต้นไม้ ค่อยๆ เลื้อย