‘ปักกิ่งไม่อิงนิยาย’ : จักรยานสีแดง

เช้าวันนี้ผมไม่ได้เข้าทำงานที่สถานีวิทยุนานาชาติจีนตามปกติ ผมมานั่งอยู่ในสถานีตำรวจ ครับ…สถานีตำรวจ หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า โรงพัก คุณจางปาง หนุ่มจีน วัย 27 ปี สูงประมาณ 185 เซนติเมตร มีพุงพองามและผิวขาวตามลักษณะเชื้อชาติ ส่งเอกสารภาษาจีนมาให้ผมฉบับหนึ่งแล้วพูดเป็นภาษาไทยว่า

“อาจารย์ ต้องเซ็นชื่อตรงนี้นาครับ” คุณจางว่า

“ใบอะไรครับ” ผมพูดช้าๆชัดๆ แม้ว่าคุณจางจะทำงานอยู่ที่หน่วยภาษาไทยของสถานีวิทยุฯ ซึ่งพูดและเขียนภาษาไทยได้ก็ตาม แต่เวลาที่ต้องสื่อสารกันก็ต้องใช้คำที่ง่าย และพูดช้าๆชัดๆ

คุณจางยิ้มก่อนตอบ “ใบลงโทษครับอาจารย์” ผมเงียบ มองเลยไปยังคุณตำรวจหญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ที่จริงคุณตำรวจคนนี้ก็น่ารักดี ใบหน้าถอดแบบอาหมวยมาเลย ผมตัดสั้นแค่ต้นคอ ผิวขาวใส แถมมีลักยิ้มที่แก้มข้างหนึ่งด้วย ดูๆแล้วอายุอานามไม่น่าจะไม่เกิน 25 ปี เสียแต่ว่า หน้าไม่ยิ้มเลย ทำราวกับว่า ผมทำความผิดร้ายแรงอะไรปานนั้น

เธอมองมาทางผม และมองไปยังเอกสารที่ยื่นให้

“เอ…เซ็นไปแล้ว จะเป็นอะไรหรือเปล่า” ผมมองไปที่คุณจาง

“อ๋อ…ไม่เป็นอารายหรอกครับ แค่ใบลงโทษเฉยๆนะ ที่นี่เขาทำอย่างนี้นะ” คุณจางว่าและพูดต่อ “คืองี้นะ เรามาแจ้งเขาช้าปาย เขาบอกว่า ต้องมาแจ้งตั้งแต่เข้ามาอยู่วันสองวันแรกแล้วนะ นี่อยู่มาสิบกว่าวันแล้วถึงมาแจ้ง แบบนี้ต้องเขียนใบลงโทษนะ”

อ้าว…ก็ถ้าคุณจางไม่พามา แล้วผมจะมาเองได้อย่างไรเล่าครับ ผมไม่ได้พูดออกไปหรอก ได้แต่คิดอยู่ในใจ หยิบเอกสารขึ้นมาดู แต่ก็จนใจเพราะไม่รู้ภาษาจีน หยิบปากกาแล้วเซ็นชื่อลงไป ส่งให้คุณตำรวจหญิง

“นี่ครับ” ผมพูดเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับรอยยิ้ม

อาหมวยตำรวจสาวรับมาไม่ว่าอะไร ได้แต่ยิ้มนิดๆเหมือนขำๆ

……………………………………………………………….

จำได้ว่าวันแรกที่ลงจากเครื่องบินมาเหยียบกรุงปักกิ่งเป็นวันจันทร์ เดินออกจากสนามบินประมาณ 7 โมงเช้า เข็นสัมภาระมาที่ประตูขาออก มองเห็นคุณจางชูป้ายชื่อผมหลาอยู่ จากนั้นแกพาไปทานอาหารมื้อแรกที่ร้านอาหารในสนามบิน เป็นน้ำเต้าหู้เย็น ซาลาเปาและปาท่องโก๋ ซาลาเปากับน้ำเต้าหู้รูปลักษณ์และรสชาติเหมือนบ้านเรา แต่ปาท่องโก๋นี่สิ ตัวใหญ่มาก ทานแค่ตัวเดียวก็อิ่มแล้ว แถมยังนุ่มและกรอบกำลังดี อร่อยทีเดียว เป็นอันว่า มื้อแรกในปักกิ่งผ่านไปด้วยความอิ่มหนำ จากนั้นคุณจางพาไปที่โรงแรมมิตรภาพ หรือ เฟริน์ชิพ โฮเต็ล โรงแรมที่รัฐบาลจีนใช้ต้อนรับเจ้าหน้าที่ต่างชาติที่เข้ามาทำงานให้กับหน่วยงานรัฐของจีนมาตั้งแต่อดีต เมื่อเอาข้าวของไปเก็บล้างหน้าอาบน้ำแล้วเราจะเข้าที่ทำงานกัน

สถานีวิทยุนานาชาติจีนที่ผมทำงานอยู่ออกมาทางชานกรุงปักกิ่ง ระหว่างทางมองเห็นตึกอาคารสูงใหญ่ มีทั้งสถานที่ราชการ อาคารสำนักงาน คอนโดที่พักอาศัย และถนนหนทางกว้างขวาง แต่ไม่เห็นมีบ้านสักหลังเดียว ชาวปักกิ่งเขาอยู่ตึกกัน ใครมีบ้านต้องเป็นระดับเศรษฐีหรือผู้มีอำนาจในบ้านเมืองเท่านั้น นอกจากนั้นถนนหนทางเต็มไปด้วยรถราเต็มไปหมด มีทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง พูดง่ายๆไม่ต่างจากกรุงเทพฯสักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่า ถนนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นถนนหกเลน ไม่ใช่ถนนเล็กบ้างใหญ่บ้างแบบบ้านเรา

สำหรับจักรยาน พาหนะยอดนิยมของชาวจีนตามที่เราๆท่านๆเคยรู้กันเมื่อสมัยก่อน ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ไม่มากมายอะไรแล้ว ภาพจักรยานเป็นร้อยเป็นพันวิ่งไปพร้อมๆกันนั้น ไม่มีแล้ว แต่เขายังมีเลนจักรยานอยู่ อยู่ติดกับฟุตบาทของคนเดินเท้า แต่เลนจักรยานซึ่งกว้างประมาณรถยนต์ 2 คันสวนกันได้ รถยนต์ก็สามารถเข้าไปวิ่งได้เหมือนกัน เลยดูวุ่นวายพอสมควรสำหรับคนมาใหม่อย่างผม

“อาจารย์ เดี๋ยวแวะดูบ้านนิดนึงนะครับ” คุณจางพูดขึ้น

“ดีครับ” ผมว่า

ในที่สุดรถของเรามาจอดที่หน้าตึกแห่งหนึ่ง สูง 10 กว่าชั้นเห็นจะได้ คุณจางพาผมขึ้นไปที่ชั้น 8 แล้วมาหยุดที่หน้าห้องๆหนึ่ง ประตูเปิดออก

“หนีห่าว” หญิงวัยกลางคนพูดทักทาย พวกเขาพูดคุยกันและเชื้อเชิญผมเข้าไป

“โอ…ไม่ต้องถอดรองเท้าครับ เข้ามาเลย” คุณจางว่า และเดินนำเข้าไป

“ครับ” ผมว่า และเดินตามเข้าไป คนที่นี่เขาใส่รองเท้าเข้าบ้าน ไม่ต้องเสียเวลาถอดเข้าถอดออก นอกจากจะอาบน้ำหรือขึ้นเตียงเท่านั้น

ห้องพักที่นี่นับว่าใช้ได้ เปิดเข้ามาเป็นห้องนั่งเล่น ข้างๆเป็นห้องน้ำและครัวเล็กๆอยู่ติดกัน เลยห้องนั่งเล่นเป็นห้องนอน มีอยู่ 2 ห้อง ดูเสร็จเราสองคนเดินออกมา ขึ้นรถเข้าที่ทำงาน คุณจางบอกว่าค่าเช่าเดือนละ 1,800 หยวน ซึ่งไม่แพงเมื่อเทียบกับพื้นที่ใช้สอย แต่ผมมองว่ามันไกล เดินไปทำงานกว่าจะถึงคงเหนื่อย และด้านล่างไม่มีร้านค้าเลย กินอยู่ลำบาก ที่สำคัญห้องนอนมี 2 ห้องมากเกินไปสำหรับคนๆเดียว

“คุณจางมีที่อื่นอีกไหม ช่วยพาไปดูหน่อย” ผมว่า

“อ๋อ…มีครับ ค่อยๆหาก็ได้นะ มีเยอะแยะ” คุณจางว่ายิ้มๆ

ถึงที่ทำงาน ผมได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างดีจากชาวจีนที่หน่วยภาษาไทยประจำสถานีวิทยุนานาชาติจีน ตกบ่ายเราออกไปหาบ้านกันอีก คุณจางเป็นธุระจัดการให้ผมเกือบทุกเรื่อง พูดง่ายๆคือ เขารับหน้าที่ดูแลผมนั่นเอง เราเดินออกมาทางถนนใหญ่ กำลังจะข้ามถนน ฝั่งตรงข้ามเป็นคอนโดสร้างใหม่ สูงหลายสิบชั้น ดูแล้วน่าอยู่ ขณะกำลังก้าวเท้าคุณจางเอามือมาขวางผมเอาไว้

“เดี๋ยวครับอาจารย์ ที่นี่เขามองซ้ายก่อนนะคร้าบ”

“หา อ่อ เข้าใจแล้วครับ” ผมว่าและมองตาม รถมาจากทางซ้ายของถนน จากนั้นเราเดินมาหยุดตรงกึ่งกลางถนนค่อยมองทางขวา ซึ่งตรงข้ามกับบ้านเรา ที่นี่ต้องมองซ้ายก่อน

คุณจางไม่ได้พาผมไปที่ตึกสร้างใหม่ แต่พาเลยไปที่ตึกเก่าที่อยู่ข้างใน เดินไปจนหอบ ผมเองรู้สึกมึนหัว เพราะนั่งเครื่องมา 5 ชั่วโมงหลับบ้างตื่นบ้าง แกบอกว่า มาดูที่นี่ก่อน เดือนละ 1,500 หยวนเอง เผื่อจะสนใจ ครับ… ราคามันถูกดีอยู่หรอก แต่พอมาเห็นสภาพตึก ค่อนข้างเก่าโทรม ไม่มีลิฟท์ และห้องพักอยู่ถึงชั้น 5 ผมก็ขอลา

ดูที่นี่เสร็จ ผมนั่งแท็กซี่กลับโรงแรม บอกคุณจางว่า พรุ่งนี้เราค่อยว่ากันใหม่ เพราะมึนหัวเต็มที ไปดูตึกที่ใหม่สักหน่อยจะดีกว่า คุณจางตกลง ส่งผมขึ้นแท็กซี่แล้วเราก็แยกกัน

กลับถึงห้องพัก ทานยาแก้เวียนหัวแล้วล้มตัวนอน ตื่นมาอีกทีฟ้ามืด รู้สึกจิตใจโหวงเหวงอย่างไรบอกไม่ถูก อาบน้ำ หยิบขนมปังกับช็อกโกแลตที่ติดมาออกมากัดกินแก้หิว เปิดทีวีดู ไม่รู้จะทำอะไร คิดถึงบ้าน เอ… คิดถูกหรือเปล่าที่มาทำงานไกลบ้านอย่างนี้ อยากได้ประสบการณ์ อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แต่มันจะคุ้มไหม ป่านนี้ลูกๆทำอะไรกันอยู่… ผมเริ่มฟุ้งซ่าน พยายามหาอะไรทำ หยิบหนังสือออกมาอ่าน อยากโทรกลับบ้าน แต่วันนี้ลืมซื้อซิมการ์ดมือถือ ขนาดบอกกับคุณจางเอาไว้แล้วเชียว พรุ่งนี้ต้องไม่ลืมแน่นอน….

อ่านหนังสือได้สักพักก็ลุกขึ้นไปทานยาอีกเม็ดจะได้หลับ แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนด้วยความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวที่สุดในชีวิต….

วันรุ่งขึ้นผมนั่งแท็กซี่ไปที่ทำงาน คุณจางให้นามบัตรที่ทำงานกับนามบัตรของโรงแรมเอาไว้บอกแท็กซี่ วันนี้ยังไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สายหน่อยเราออกเดินหาบ้านกันอีก คราวนี้ไปดูที่คอนโดสร้างใหม่ตรงหัวมุมสี่แยก คุณจางพาผมไปบริษัทนายหน้า นายหน้าพาไปดูห้องที่ตึก 6 คอนโดที่นี่เป็นคอนโดสร้างใหม่ มีประมาณ 10 กว่าตึก แต่ละตึกสูง 25 ชั้น ด้านนอกเป็นร้านค้า มีซุปเปอร์มาเก็ตอยู่ตรงกลาง ด้านในเป็นสวนสาธารณะกว้างขวาง มีทั้งลานกิจกรรม ลู่วิ่ง สนามบาสเก็ตบอล มุมออกกำลังกาย และสนามเด็กเล่น แต่ส่วนหลังนี้ไม่อยากมองเท่าไหร่ เพราะดูแล้วคิดถึงลูกๆ

ดูสภาพแวดล้อมแล้วรู้สึกชอบ พอขึ้นไปบนห้องมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งทีวี ตู้เย็น โทรศัพท์ เครื่องซักผ้า และไมโครเวฟ อาเจ๊เจ้าของห้องคิดค่าเช่าเดือนละ 2,000 หยวน ต้องจ่ายล่วงหน้า 3 เดือน พร้อมค่ามัดจำ 1 เดือน และค่านายหน้า 1 เดือน รวมแล้ว 10,000 หยวนพอดี ผมเลือกที่นี่ จะต้องอยู่ทั้งปีก็ขออยู่ที่ๆเราพอใจดีกว่าแม้จะแพงสักหน่อย แต่ดูปลอดภัย ไม่ไกลจากที่ทำงาน มีร้านอาหารและมีสวนสาธารณะให้ได้นั่งปล่อยใจคิดถึงบ้าน ตกลงเรานัดกันทำสัญญากันวันรุ่งขึ้นที่บริษัทนายหน้า พร้อมกับที่ผมย้ายข้าวของจากโรงงแรมเข้ามาในตอนสายของวันเดียวกัน

ถึงวันนัดคุณจางมารับตอน 9 โมงเช้าที่โรงแรม เอาของเข้าไปไว้ในห้องที่คอนโด ไปทำสัญญาที่บริษัทนายหน้า จากนั้นเข้าที่ทำงาน เริ่มทำงานตั้งแต่บัดนี้ เพราะพรุ่งนี้คนไทยที่มาอยู่ก่อนผมเขาจะกลับพอดี เป็นอันว่าทุกอย่างลงตัว เริ่มงานได้….

เย็นวันนั้น หลังจากที่ทานเมื่อเย็นที่โรงอาหารที่ทำงานแล้ว ผมเดินกลับที่พักประมาณ 1ทุ่ม ความจริงผมเลิกงานตั้งแต่ 6 โมงเย็น แต่ไม่อยากกลับห้องเร็วนัก กลับไปอยู่คนเดียว นั่งฟุ้งซ่านคิดถึงบ้านเปล่าๆ ตอนนี้ผมกลายเป็นโรคเกลียดเวลาเย็นยามโพล้เพล้ไปเสียแล้ว เวลาที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แสงตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า ดูมันเหงาหงอยอย่างไรพิกล พอกลับถึงห้องก็ลงมือจัดข้าวของให้เข้าที่กว่าจะเสร็จใช้เวลาพอสมควร ยังขาดของบางอย่างอีกนิดหน่อยเช่น ราวตากผ้า พรมเช็ดเท้า ไม้แขวนเสื้อ ผงซักฟอก ฯลฯ ค่อยทยอยซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตข้างล่างก็ได้

เป็นอันว่าชีวิตในกรุงปักกิ่งของผมเริ่มต้นขึ้นแล้ว วันรุ่งขึ้นผมเดินไปทำงาน ที่ทำงานอยู่ใกล้กับที่พักมาก เดินข้ามถนนตรงสี่แยกใหญ่และเดินต่อไปอีกไม่เกิน 500 เมตรก็ถึง แต่เวลาข้ามถนน ผมต้องมองทั้งขวาซ้าย คือมองทั้ง 2 ทางพร้อมๆกัน เพราะยังไม่ชินและรถที่นี่ก็ขับแบบไม่เกรงใจคนเดินเท้าเลยสักนิดเดียว ชอบบีบแตรถี่ๆเสียงดัง และพอมีช่องหน่อยก็จะไปท่าเดียว ไม่สนว่าไฟเขียวหรือแดง ขณะที่คนข้ามถนนก็เช่นกัน ไม่ว่าไฟเขียวหรือไฟแดง เมื่อไม่มีรถหรือรถยังมาไม่ถึงฉันจะไปท่าเดียว คงอีกหลายเพลากว่าผมจะเข้าที่เข้าทาง

……………………………………………………..

วันนี้เป็นเช้าวันทำงานวันหนึ่ง ผมมาอาศัยอยู่ที่ปักกิ่งเกือบสองสัปดาห์แล้ว ผมตื่น 8 โมงเช้า ดื่มนมและทานขนมปัง 1 ชิ้น ทำโน่นทำนี่เสร็จ ออกมาทำงานประมาณ 9 โมงกว่า เพื่อที่จะมาถึงที่ทำงานไม่เกิน 9 โมงครึ่ง ออกจากคอนโดซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางสี่แยกพอดี ที่ทำงานของผมอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคอนโดต้องข้ามถนน 2 ครั้งจึงจะไปถึง ผมมองขวามองซ้ายและมองซ้ายซ้ำอีกที พอรถว่างก็เดินข้ามไป พอมาถึงทางข้ามที่ 2 เห็นผู้คนกำลังข้ามกันอยู่ก็รีบๆตามเขาไป ได้ยินเสียงเหมือนกระดิ่งรถจักรยานหันไปมองทางขวา อ้าว….ไม่มี นึกขึ้นได้ ต้องหันมองทางซ้าย… สายไปเสียแล้ว จักรยานพุ่งชนเข้ามาจังเบอร์…

ผมลงนั่งกับพื้นถนน เจ็บนิดๆที่แขนข้างหนึ่งแต่ไม่เป็นอะไรมาก มองไปรอบๆเห็นจักรยานเจ้ากรรมล้มอยู่ข้างหน้าห่างไป 3 ก้าวและคนขับก็ลงมานั่งพับเพียบอยู่ข้างๆ ดูท่าทางน่าจะเป็นคนในเครื่องแบบ ผมลุกขึ้นเดินไปหา

“เป็นอะไรไหมครับ” ผมส่งภาษาอังกฤษออกไป เธอหันมอง ผมร้องด้วยความตกใจ

“โปลิส”

อาหมวยตำรวจสาวคนนั้นเอง เธอตอบเป็นภาษาบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ซึ่งผมเองไม่เข้าใจ เธอลุกขึ้น พูดอะไรกับผมอีกและมองมาที่ผม จากนั้นก็เดินไปยกจักรยาน ผมเดินตามไปช่วยเธอ คุณตำรวจหญิงพูดอะไรต่ออีกนิดหน่อย ผมรู้แค่ 2 ประโยคว่า “เหมย กวน ซิ เสี้ย เสี้ย” คือ ไม่เป็นไร ขอบคุณ จากนั้นเธอมองมาที่แขนของผม มันเป็นแผลถลอกนิดหน่อย

“เออ… ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก” ผมบอกเธอพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ อาหมวยตำรวจสาวยิ้มตอบและขี่จักรยานออกไป

ผมสังเกตตอนที่ช่วยเธอยกจักรยาน ที่ตัวถังจักรยานของเธอมีรอยสีแดงๆเปื้อนอยู่ ขณะที่มองไปที่ข้อศอกของตัวเอง พลางนึกอยู่ในใจว่า โอย… แผลแรกในปักกิ่ง ถึงกับฝากเลือดกันเลยหรือ ผมออกเดินจะข้ามถนนอีกครั้ง คราวนี้ท่องไว้ในใจซ้ำไปซ้ำมาๆ

“ต้องมองซ้าย ต้องมองซ้ายก่อน”

……………………………………………………..

ต้นฉบับเรื่องสั้นบรรยากาศไทย-จีน 

‘ปักกิ่งไม่อิงนิยาย’   

เรื่องและภาพโดย  ฉานต้าหลง

เรื่องสั้นจบในตอนของหนุ่มไทยที่จากครอบครัวไปทำงานที่องค์กรสื่อสารมวลชนของจีน (CRI) ณ กรุงปักกิ่ง ด้วยความที่ไม่คุ้นชินกับชีวิตในต่างแดน ประเพณี วัฒนธรรมของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ภายใต้การปกครองในระบอบสังคมนิยมหลังการเปิดประเทศ   ประกอบกับความคิดถึงครอบครัว ทำให้เขาพยายามเดินทางและหาเรื่องราวต่างๆทำเพื่อฆ่าเวลา    รวมทั้งความประทับใจในมิตรภาพที่ได้รับจากเพื่อนชาวจีน  ผู้อาวุโสชาวไทยที่ลี้ภัยการเมืองมาอาศัยอยู่ที่ปักกิ่ง  และเพื่อนชาวต่างชาติ  ซึ่งได้มีโอกาสพบปะกันในโอกาสต่างๆ เขาได้เก็บเกี่ยวเรื่องราวเหล่านี้มาเล่าในรูปแบบของเรื่องสั้นหลากอรรถรสหลายอารมณ์