ประวิตร สั่ง3 เดือน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้องหมด! ลั่นต้องกวาดล้างต้มตุ๋นออนไลน์ให้หมดสิ้น

“ลุงป้อม”สั่งเร่งปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ย้ำ กวาดล้างต้มตุ๋นออนไลน์ให้หมดสิ้น

วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2565) เวลา 10.00 พฤศจิกายน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ เป็นประธานการประชุมการแก้ไขปัญหาการฉ้อโกงประชาชนผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) โดยมีผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม

พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ เปิดเผยว่า พลเอกประวิตร มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จากการหลอกลวงของ แก๊งคอลเซนเตอร์ การประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมได้กำหนดแนวทางการดำเนินการเร่งด่วน โดยกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน อาทิ การให้ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศ หรือข้อบังคับให้ธนาคารพาณิชย์ระงับช่องทางการทำธุรกรรมออนไลน์กับบัญชีต้องสงสัย การกำหนดให้การโอนเงิน Mobile Banking ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ต้องใช้ซิมโทรศัพท์ที่ลงทะเบียนเท่านั้น การให้ กสทช. ออกมาตรการในการลงทะเบียนซิม การพัฒนาต่อยอด application เป๋าตัง การให้ ปปง. แก้ไขกฎกระทรวง เรื่องการกำหนดจำนวนเงินสดในการทำธุรกรรมที่สถาบันการเงินต้องรายงานต่อ ปปง. และการให้ ปปง.กำหนดหลักเกณฑ์ให้สถาบันการเงินต้องดำเนินการเมื่อตรวจพบบัญชีม้า นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีการดำเนินการในระยะถัดไป ได้แก่ การจัดให้มีการระบุตัวตน biometrics ของผู้เปิดและใช้บัญชีตั้งแต่เริ่มแรกและต่อมาเป็นระยะเพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลถูกต้องแท้จริงและเป็นปัจจุบัน การเสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี อาทิ การออก พรก. แก้ไขปัญหาบัญชีม้า และการผลักดันให้ผู้บริการอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยให้ใช้ ip version 6 เป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อประโยชน์ในการยืนยันตัวบุคคลและสถานที่

โดยในปี 2565 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับแจ้งความคดีออนไลน์ จำนวน 127,995 เรื่อง แบ่งเป็นคดีออนไลน์จำนวน 22 ประเภท โดยเป็นกรณีหลอกลวงซื้อขายสินค้าสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 47,111 คดี การโอนเงินเพื่อหารายได้จากกิจกรรม จำนวน 17,364 คดี และการหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้รับเงิน จำนวน 15,301 คดี

พล.ต.อ.ธรรมศักดิ์ เน้นย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญที่จะปกป้องประชาชนจากมิจฉาชีพเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น รวมถึงการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและเร่งบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อการข่มขู่หรือเชิญชวนลงทุนต่างๆ และอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับผู้อื่นโดยง่าย และหากตกเป็นผู้เสียหายให้รีบแจ้งความที่สายด่วน 1441 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตลอด 24 ชั่วโมง