เผยแพร่ |
---|
พรรคประชาธิปัตย์ในยุค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เป็นหัวหน้า นายเฉชิมชัย ศรีอ่อน เป็นเลขาธิการ กำลังเข้าสู่สถานการณ์อันมากด้วยความแหลมคมยิ่งในทางการเมือง
เนื่องจาก”คู่ต่อสู้”ในทางการเมืองมิได้อยู่ที่พรรคเพื่อไทยอย่างเป็นด้านหลัก หรือพรรคก้าวไกลอย่างเป็นด้านรอง
ตรงกันข้าม พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งร่วมรัฐบาลตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายน 2562 เป็นต้นมา ต่างหากที่กำลัง พัฒนาการต่อสู้ไปอยู่ในเชิงเป็น”ปรปักษ์”
ยิ่งเมื่อมีการขยับและตระเตรียมพรรครวมไทยสร้างชาติผ่าน นายพีระพันธุ์ สาลิรัฐวิภาค นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี เพื่อรองรับต่อ ยุทธ์การ”ไปต่อ”ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ก็ยิ่งทำให้คู่ต่อสู้ในเชิงเป็น”ปรปักษ์”ของพรรคประชาธิปัตย์มี ความแหลมคมเป็นอย่างสูง ไม่เพียงในพื้นที่ภาคใต้ หากแต่ยังเป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร
เนื่องจากพลังดูดที่เกิดขึ้นเด่นชัดอย่างยิ่งว่ามาจากการเกิด
ขึ้นของพรรครวมไทยสร้างชาติ และเป้าหมายการขยายพื้นที่ของ พรรคภูมิใจไทย
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐก็ยืนหยัดป้องกัน”จำนวน”ของตน
การปรากฏขึ้นของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เมื่อประสานเข้ากับแนวโน้มและความเป็นไปได้ที่ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี จะมาอยู่ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
ผลสะเทือนที่ตามมาอย่างฉับพลันทันใดย่อมเป็นผลสะเทือน ต่อการดำรงอยู่ของพรรคประชาธิปัตย์
ไม่ว่าจะเป็น นายวิทยา แก้วภราดัย นายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ซึ่งออกมาปักหลักอยู่ก่อน ยังข่าวอันเกี่ยวกับ นส.รังสิมา รอดศิริ และเกี่ยวกับ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อีกเล่า
แต่ที่สั่นไหวสถานะของพรรคประชาธิปัตย์ย่อมเป็นโอกาสและการไหลเข้ามาของตระกูล”วิชัยกุล” และตระกูล”เสนพงศ์”ในจังหวัดนครศรีธรรมราช
ไม่ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่า
พรรคพลังประชารัฐจึงท้าทายพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง
มีบทสรุปอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นเป็นลำดับว่า แต่ละก้าวย่างของพรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคใหม่ที่มีแนวทางสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เป็นก้าวย่างของยุทธการ”ตกปลา”จาก”บ่อเพื่อน”
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนในพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนในพรรคประช่าธิปัตย์ ขณะที่ไม่สามารถไปแย่งชิงมาได้จากพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล
นี่ย่อมสะเทือนต่อแนวหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา