ธงทอง จันทรางศุ | ส่องกระจกดูตัวเอง

ธงทอง จันทรางศุ

อีกเพียงไม่กี่วัน ปีใหม่เถลิงศกพุทธศักราช 2566 ก็มารออยู่ตรงหน้าแล้ว

พอย่างเข้าเดือนธันวาคม บรรยากาศที่เรียกว่าการเฉลิมฉลองก็จะครึกครื้นขึ้นเป็นธรรมดา ร้านอาหาร ร้านขายของและสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหลายเฝ้ารอช่วงเวลานี้ของทุกปี เพราะเป็นช่วงที่ทำมาค้าขึ้นเป็นพิเศษ อย่างน้อยก็มองเห็นช่วงที่มีวันหยุดยาวเพิ่มขึ้นกว่าปกติถึงสามช่วง

ช่วงต้นเดือนก็มีวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อน ถัดไปอีกนิดเดียวก็ถึงวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันฉลองรัฐธรรมนูญ ปิดท้ายด้วยช่วงปลายเดือนหยุดยาวสี่วันตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม จนถึงวันที่ 2 มกราคม

ทั้งสามเหตุการณ์นี้คงมีการเดินทางมากกว่าปกติเช่นเดียวกัน เป็นการกลับไปเยี่ยมบ้านบ้าง เป็นการท่องเที่ยวบ้าง

เมื่อตอนที่ผมมีอายุน้อยกว่านี้ ผมก็เฝ้ารอเดือนธันวาคมเหมือนกันครับ เพราะรู้สึกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานรื่นเริง มีความสรวลเสเฮฮากับเพื่อนฝูงหรือญาติมิตร ถ้านึกถึงเทศกาลปีใหม่ก็ต้องเตรียมของไว้ล่วงหน้า เพื่อไปกราบเยี่ยมและมอบให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือหรือมีพระคุณมานานปี ในทางกลับกัน เพื่อนฝูงของผมหลายคนก็แวะมากราบพ่อแม่ของผมที่บ้าน เพื่อเยี่ยมเยียนสอบถามทุกข์สุขกันเป็นประจำทุกปี

แต่พออายุมาถึงวัยนี้แล้วอะไรเกิดขึ้นบ้าง?

จำนวนผู้ใหญ่ที่ผมจะต้องแวะไปกราบสวัสดีปีใหม่ในรอบสิบปีที่ผ่านมานี้ลดลงอย่างรวดเร็วน่าใจหาย บางกรณีท่านยังมีชีวิตอยู่นะครับ แต่สุขภาพไม่แข็งแรงพอที่จะรับแขกที่เป็นลูกศิษย์หรือลูกหลานได้อย่างเคย ถ้าพบหน้ากันท่านคงจำผมไม่ได้เสียแล้ว

ผมนับนิ้วดู ปีที่ผ่านมาหยกๆ ผมต้องแวะไปสวัสดีปีใหม่แบบนี้จำนวนสามบ้าน ปีนี้ได้ข่าวจากผู้ที่เป็นครอบครัวของท่านเหล่านั้น จำเป็นต้องงดเสียสองบ้านแล้ว ปีหน้าปีโน้นจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือตัวผมเองจะมีเรี่ยวแรงออกจากบ้านหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ ฮา!

เพราะปีนี้ตัวเองก็เริ่มมีอาการของคนสูงอายุมาเยี่ยมเยือนอย่างเห็นได้ชัด นอกจากโรคประจำตัวที่มีมาแต่เก่าก่อนคือกรดไหลย้อนและความดันสูงแล้ว ปีนี้แถมเรื่องกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทเข้าใหม่อีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้ตอนนี้อาการดีขึ้นแต่ก็ยังมีร่องรอยของโรคอยู่ เช่น แขนข้างซ้ายชาและอ่อนแรง

วัยนี้แล้วก็ต้องเข้าใจนะครับว่าเป็นเรื่องธรรมดา

อีกอย่างหนึ่งที่ต้องเฝ้าสังเกต คือ หูเริ่มตึงครับ

อยู่กับบ้านคนเดียวดูโทรทัศน์ก็เร่งเสียงขึ้นไปเสียจนตัวเราได้ยินถนัด ตกเย็นหลานเดินจากบ้านที่อยู่ติดกันมาเยี่ยม ถามว่าทำไมลุงเปิดโทรทัศน์ดังนัก ผมก็บอกว่าไม่เห็นดังตรงไหนเลย เปิดระดับเสียงธรรมดาแท้ๆ ลุงตอบแบบนี้เล่นเอาหลานมึนไปเลยครับ

 

นอกจากสุขภาพกายแล้วก็ต้องนึกถึงความสามารถด้านอื่นๆ ด้วย

เช่น ความคิดฉับไว ความทรงจำแม่นยำ ความสามารถที่จะเข้าใจและรู้ทันข่าวสารความเปลี่ยนแปลงต่างๆ การวางตัวของเราให้เหมาะสมกับความสามารถและวัย

เรื่องต่างๆ เหล่านี้ผมทบทวนตัวเองอยู่เสมอ และยังให้คะแนนตัวเองอยู่ในเกณฑ์สอบผ่านครับ

แต่ก็ต้องเตือนตัวเองอยู่เป็นนิจว่า เราจะไม่เป็นอย่างนี้ตลอดไป

หลังจากเกษียณอายุมาเจ็ดแปดปีแล้ว ผมยังรับหน้าที่เป็นกรรมการของทางราชการหรือที่เกี่ยวข้องกับทางราชการอยู่หลายหน่วยงาน ที่เป็นข่าวสารอยู่บ่อยครั้งในช่วงนี้ก็เห็นจะเป็นหน้าที่ล่าสุดในบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของกรุงเทพมหานคร

หน้าที่การเป็นกรรมการนั้นไม่ได้ทำงานเต็มเวลา เพราะเราไม่ใช่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรอย่างที่เรียกว่าผู้อำนวยการหรือผู้จัดการทั้งหลาย ยิ่งสมัยนี้มี LINE สำหรับช่วยในเรื่องของการสื่อสารด้วยแล้ว การพูดคุยระหว่างกรรมการทั้งหลายสามารถทำได้ตลอดเวลา เมื่อมีการประชุมประจำเดือนจึงค่อยสรุปพัฒนาการทั้งหลายที่คุยกันมาแล้วให้เป็นหลักเป็นฐาน หรือเป็นมติไว้สำหรับฝ่ายบริหารทำงานต่อไป

แต่ตรงกันข้าม อายุอานามขนาดนี้แล้วถ้าใครชวนผมไปทำงานที่ต้องรับผิดชอบหน้าที่เต็มเวลาตั้งแต่เช้ายันเย็น เสาร์-อาทิตย์ไม่มีเว้น ผมคงคิดหนัก และหนักไปทางปฏิเสธเสียมากกว่า เพราะไม่แน่ใจตัวเองว่าจะทำงานแบบนั้นได้เต็มที่มีประสิทธิภาพได้เท่าที่เราเคยเป็นมาในอดีตก่อนเกษียณอายุราชการ

“ความแก่” หรือความมีอายุมากมีประสบการณ์มากนี้ มองในข้างที่มีคุณก็มีประโยชน์อยู่ เพราะเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานมานานปี เห็นวิธีแก้ปัญหาหรือการไม่สร้างปัญหามาตลอดชีวิต ถ้านำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ก็เกิดผลดีไม่ใช่น้อย

แต่ขณะเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วความแก่ก็ลดทอนความฉับไว การกล้าตัดสินใจให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมตลอดถึงลดทอนการเปิดใจกว้างรับฟังความเห็นจากผู้อื่นด้วยเหตุที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงไปด้วย

ที่พูดมานี้เป็นสิ่งที่ผมพูดจากประสบการณ์ที่พบเห็นโดยทั่วไป ไม่ได้หมายความว่าผู้สูงอายุทุกคนจะต้องเป็นอย่างนี้เสมอไป

ลองนึกถึงผู้สูงอายุมีคุณภาพอย่างคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีของเราผู้มีอายุอยู่ในปูนเก้าสิบกว่าแล้ว เท่าที่ผมติดตามอ่านข่าวสารและได้รับทราบทัศนะที่เกิดจากสติปัญญาของท่าน คุณภาพของท่านยังไม่ลดน้อยถอยลงเลย

ผมได้รับความสุขและความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จากท่านเมื่อครั้งทำงานเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2540 ด้วยกันอย่างไร จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ลืมเลือนและเป็นสมบัติมีค่าที่จะอยู่กับผมไปตลอดเวลา

ผมจึงตั้งหมุดหมายไว้กับตัวเองว่า ปีหนึ่งอย่างน้อยครั้งหรือสองครั้ง ในวันขึ้นปีใหม่และวันเกิดซึ่งอยู่ห่างกันประมาณหกเดือนพอดี น่าจะเป็นจังหวะชีวิตที่ผมหยุดทบทวนตัวเองว่าหกเดือนหรือหนึ่งปีที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของร่างกายหรือความคิดสติปัญญา

ทบทวนแล้วก็นำมาเป็นประโยชน์ในการกำหนดท่าทีว่าอีกหนึ่งปีหรือหกเดือนข้างหน้าตัวผมเองจะทำอะไรอย่างไร ให้เหมาะกับศักยภาพและความเป็นจริง

ปีใหม่และวันเกิดแต่ละครั้ง ถ้าผมเตือนตัวเองให้ทำอย่างนี้ได้ ปีใหม่และวันเกิดทุกครั้งก็จะมีความหมายมากกว่าการกินเลี้ยงเฉลิมฉลอง

ที่พูดมาอย่างนี้ ผมบังอาจคิดว่าถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้ช่วยกันพิจารณาส่องกระจกดูตัวเองอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง จะเป็นวันไหนก็ได้ มองให้เห็นความจริงของชีวิตว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ และเราควรทำอะไรต่อไป โดยมองให้เห็นความเป็นจริงแท้ ไม่ต้องฟังเสียงกองเชียร์รอบข้างที่อยากจะลากสังขารของเราไปใช้ประโยชน์จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

ส่องแล้วก็เลือกทำแต่สิ่งที่พอสมควรแต่พอท้วมๆ เถิด

ถ้าวันนี้ยังไม่ได้ส่องกระจกแล้วพิจารณาอย่างที่ผมว่ามาแต่ต้น รอไว้วันที่ยุบสภาหรือสภาครบอายุแล้วค่อยส่องกระจกก็ได้ครับ

ดูเหมือนผมได้เคยพูดมาหลายครั้งแล้วว่า ไม่จริงหรอกครับ ถ้าใครจะมาบอกว่าโลกนี้ขาดเราไม่ได้ เพราะก่อนที่เราจะเกิดมาโลกนี้ก็หมุนและเดินหน้าไปอย่างนี้มานานแล้ว พอเราตายจากไป โลกและทุกสรรพสิ่งก็จะหมุนต่อไปอีกเหมือนเดิม

วันนี้ลุกขึ้นเทศน์ชรากถาเสียอย่างนั้น ใครจะทำไม