ถึงเวลาต้องแยกกันเดิน | จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

ประวัติศาสตร์สอนว่า “เมื่อเกี่ยวข้องกับเรื่องอำนาจ แม้สายโลหิตเดียวกันก็ไว้ใจไม่ได้” ดังนั้น จะนับประสาอะไรกับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี กับ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้คลานตามหลังกันมา มีความรักความผูกพันฉันพี่น้องร่วมสาบาน ในนามของ “พี่น้อง 3 ป.”

เมื่อก่อนรักกันปานจะกลืน ปากก็ชื่นชมกันเรื่อยๆ แต่ตอนหลัง “อำนาจ” เป็นปฐมเหตุส่งระเบิดล่อใส่กันตูมๆ ล่าสุดเป็น “พี่ใหญ่ป้อม” ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ตอบแบบไม่มียั้ง เกี่ยวกับข่าวคราว “น้องตู่” จะย้ายพรรคไปร่วมกับ “รวมไทยสร้างชาติ” ว่าจริงหรือไม่ประการใดว่า

“อันนั้นเป็นเรื่องของท่านนายกฯ ต้องไปถามท่าน มาถามอะไรผมเล่า และยังไม่ได้พูดคุยกันในเรื่องนี้”

ผู้สื่อข่าวแหย่รังแตนต่อ ว่าพรรคพลังประชารัฐมีการพูดคุยเรื่องแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคลงตัวหรือยัง “ลุงบ้านป่า” บอกว่า ยังไม่ได้พูดคุย ยังไม่ได้มีการประชุม ส่วนจะประชุมเมื่อใด ยังตอบไม่ได้ เพราะยังไม่ได้นัด การพูดคุยต้องนัดสมาชิกพรรค กรรมการบริหารพรรคประชุมร่วมกันก่อน

เมื่อถามว่า “พล.อ.ประยุทธ์” กับ “พล.อ.ประวิตร” จะแยกกันเดินใช่หรือไม่

“บิ๊กป้อม” ตอบว่า “ไม่รู้ ผมไม่รู้ ก็อยู่กันทุกวัน แต่ไม่ได้พูดเรื่องนี้” ผู้สื่อข่าวไขปริศนาต่อ ว่า พี่น้อง 3 ป.จะแยกจากกันหรือไม่ “พล.อ.ประวิตร” กล่าวว่าไม่รู้ ไม่แยกหรอก จะแยกกันอย่างไร สนิทกันมา 40-50 ปี

นักข่าวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง รุกต่อว่า มีการสื่อสารออกมา เหมือนจะแยกกันเดิน

“บิ๊กป้อม” เริ่มหูร้อน “จะแยกก็แยกไปไม่เป็นไร”

ผู้สื่อข่าวเสิร์ฟลูกต่ออีกดอก หาก “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่อยู่พลังประชารัฐ อาจจะขน ส.ส.ตามไปด้วย “พล.อ.ประวิตร” ของขึ้นตอบเสียงดัง

“ไปเลย ไปไหนก็ไป ผมไม่ว่าอะไร ใครอยากไปไหนก็ไป เป็นเรื่องของตัวบุคคล ผมไม่ห้ามใครทั้งนั้น”

ช่วงที่ “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” เสียงข้างมากมีมติให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไว้เป็นการชั่วคราว เกี่ยวกับปม 8 ปี และโดยลำดับไหล่ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ในฐานะรองนายกฯ เบอร์ 1 ขึ้นขัดตาทัพในฐานะนายกฯ รักษาการ

ก่อนที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง จะมีมติว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ “พล.อ.ประยุทธ์” ยังไม่สื้นสุด ตามกลไกรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 170 วรรคสอง

แม้จะแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แค่ชั่วคราว แต่ “ลุงป้อม” ได้รับเสียงเชียร์ล้นหลาม แม้บุคลิกสุขภาพ ดูจะชำรุดทรุดโทรม เดินแทบไม่ไหว แต่ในทางการเมือง ดูดีมีภาษีกว่าหลายขุมกำลัง ทั้งความเป็นกันเอง ภาพลักษณ์เป็นคนประนีประนอม มีชั้นเชิง ประสบการณ์เหนือกว่า ชงหวานเฉียบขาดกว่า พูดจาภาษาดอกไม้กับทุกฝ่ายได้ ผิดกับ “น้องตู่” มีแต่ความแข็งกร้าว พูดจาไม่เอาอ่าวเอาแหลม เข้ากับใครต่อใครยาก

ประกอบกับการที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” เสียงข้างมากมีมติว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ “พล.อ.ประยุทธ์” ยังไม่สิ้นสุด ได้ไปต่อก็จริง แต่ไม่สุดติ่งกระดิ่งแมว แค่ครึ่งเดียว โดยจะไปครบ 8 ปีบริบูรณ์เอาในวันที่ 5 เมษายน 2568

หาก “พล.อ.ประยุทธ์” ลงชิงชัยในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ก็ไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง เป็นได้แค่ 2 ปี จึงเป็นห้องเครื่องให้ “พล.อ.ประวิตร” ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เคยส่ง “พล.อ.ประยุทธ์” เข้าประกวด และเข้าป้ายมาแล้ว

ต้องดีดลูกคิด ชงสูตรใหม่ ด้วยการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ เต็มจำนวนที่รัฐธรรมนูญกำหนดจำนวน 3 คน คือ “พล.อ.ประยุทธ์” เบอร์ 1 ตามด้วย “พล.อ.ประวิตร” หมายเลข 2 และ “พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” เบอร์ 3

นั่นหมายความว่า หากพลังประชารัฐได้ฟอร์มรัฐบาลอีกวาระสมัย “บิ๊กตู่” ได้เป็นนายกฯ แค่ 2 ปี ต้องก้าวลงจากหลังเสือและเปิดทางให้แดนดิเดตคนถัดไป ซึ่งจะเป็น “ลุงป้อม” หรือ “บิ๊กแป๊ะ” ก็ได้

แต่ทาง “พล.อ.ประยุทธ์” แกไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ ยังกึ๊กๆ กั๊กๆ ไม่รู้จะเอาอย่างไรก็ไม่บอก

นอกจากนั้นแล้ว หลังศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก มีมติให้ไปต่อ “พี่น้อง 3 ป.” ซึ่งรวมถึง “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ด้วย ได้จับเข่าคุยปมการปรับปรุงคณะรัฐมนตรี

ซึ่งทาง “บิ๊กตู่” ปิ้งไอเดียขึ้นมาเอง ว่าจะถือโอกาสปรับใหญ่ ตามเงื่อนไขที่พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอ ด้วยการเสนอชื่อ “นริศ ขำนุรักษ์” ส.ส.พัทลุงหลายสมัยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แทน “นิพนธ์ บุญญามณี”

“บิ๊กป้อม” ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ รับปากกับกลุ่มปากน้ำ ที่เป็นฐานกำลังใหญ่อีกค่าย ได้สยายปีกเป็นรัฐมนตรีช่วย ที่เป็นโควต้าเก่าของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” พร้อมกันนี้ “พี่ใหญ่” เสนอสลับฟันปลาในบางเก้าอี้ไปในตัวด้วย

ปรากฏว่า พอถึงเวลา “บิ๊กตู่” เบี้ยวไม่ปรับคณะรัฐมนตรีซะหน้าตาเฉย ประชาธิปัตย์เองก็จั่วลมฟรีโดยเปล่าประโยชน์

“พล.อ.ประยุทธ์” ไม่มีความชัดเจนอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะมาลงบัญชีชื่อนายกฯ กับพลังประชารัฐหรือไม่ และการไม่ยอมปรับปรุงคณะรัฐมนตรีเพื่อรับมือศึกเลือกตั้งใหญ่ ในกลางปี 2566 แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวคราวว่าจะย้ายค่ายไปลงสมัครเป็นแคนดิเดตนายกฯ กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เป็นโต้โผใหญ่เป็นไปได้สูงมาก ดูตามรูปเกมแล้ว น่าจะแน่ชัดว่า “ป.ประยุทธ์” กับ “ป.ประวิตร” ถึงเวลาต้องแยกกันเดินอย่างเด็ดขาด

พรรคพลังประชารัฐก็ต้อง “หารสอง” มี ส.ส.-นักการเมือง จำนวนหนึ่ง ต้องขนลูกหาบตาม “บิ๊กตู่” ไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ

เมื่อเรือแตก โอกาสของทั้งสองพรรค ของ “พี่น้อง” และ “น้องตู่” หลังเลือกตั้ง จะแปรสภาพเป็นพรรคอะไหล่ ไม่ได้เป็นแกนนำฟอร์มรัฐบาลแบเบอร์ เพราะจะได้ ส.ส.เข้าสภา ค่ายละไม่เกิน 50 คน