ผ่าเครือข่ายนายทุนจีนเปิด “ผับ 0 เหรียญ-ค้ายา” คุมเข้มสั่งกวาดล้าง ฟันเละตำรวจนอกรีต

ถือเป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศเลยทีเดียวสำหรับปัญหาการบุกจับผับจีนย่านสาทร ที่เปิดบริการให้กับชาวจีนในไทย โดยไม่ได้รับอนุญาต

และยังตรวจพบว่ามียาเสพติดจำหน่ายและบริการภายในผับดังกล่าว

เพราะไม่ใช่แค่เรื่องความผิดของสถานบริการ หรือแค่เรื่องของยาเสพติดเท่านั้น เมื่อมีการเปิดเผยอีกว่า นี่คือ 1 ของขบวนการทุนสีเทาต่างชาติจากประเทศจีน ที่เข้ามาครอบงำเมืองไทย

มีอิทธิพลถึงนักการเมืองระดับประเทศ และการควบคุมจัดการต่างๆ แถมเจ้าหน้าที่ไทยที่ควรจะป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุ กลับยินยอมพร้อมใจสนับสนุนแลกกับผลประโยชน์ค่าตอบแทน

เป็นเรื่องที่กระทบต่ออธิปไตยของประเทศ และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะตำรวจ จึงไม่แปลกที่ ผบ.ตร. จะต้องออกมาประกาศจัดระเบียบ กวดขันสถานบริการ-ยาเสพติด เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นในองค์กรตำรวจ

ส่วนจะสัมฤทธิผลเพียงใด ต้องติดตาม!!!

ทลายผับจีน

ตะลึงผับศูนย์เหรียญค้ายา

เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อประมาณตี 3 ของวันที่ 26 ตุลาคม โดย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 100 นาย บุกเข้าตรวจค้นอาคารจินหลิง, อาคาร LEELA และอาคาร WIP WUP CAR WASH เลขที่ 60-60/1 ถนนเจริญราษฎร์ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ หลังพบมีการลักลอบเปิดสถานบันเทิง และมั่วสุมเสพยาเสพติดอยู่ภายในสถานที่ดังกล่าวจำนวนมาก

ที่เกิดเหตุมีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ มีรั้วรอบขอบชิด พบมีประตูเหล็ก สูงกว่า 3 เมตร พร้อมกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่คอยดูความเคลื่อนไหวภายนอก มีลักษณะเหมือนจะเปิดเป็นคาร์แคร์ แต่ยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง มีอาคารก่อสร้างชั้นเดียวที่มีชื่อภาษาจีน และภาษาไทยระบุ จินหลิง และอาคาร LEELA

รอบตัวอาคารเป็นลานจอดรถ พบรถยนต์หรูหลายยี่ห้อจอดเรียงกัน อาทิ โรลส์รอยซ์, ปอร์เช่, เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู และโตโยต้า อัลพาร์ด

เมื่อเข้าไปพบภายในแบ่งเป็นห้องคาราโอเกะเกือบ 20 ห้อง พร้อมประดับไฟแสงสีบริเวณทางเดิน โดยในแต่ละห้องพบนักเที่ยวทั้งชายและหญิงจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน อีกทั้งยังพบห้องเก็บของที่ใช้สำหรับซุกซ่อนยาเสพติด ประเภทเคตามีน แฮปปี้วอเตอร์ จำนวนหลายร้อยซองด้วย เจ้าหน้าที่จึงควบคุมนักเที่ยวทั้งหมดไปตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด

พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. ระบุว่า สถานที่แห่งนี้นอกจากเปิดบริการเป็นร้านคาราโอเกะให้นักท่องเที่ยวชาวจีน ยังพบพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ จัดสถานที่ให้มีการมั่วสุมยาเสพติด อีกทั้งยังให้บริการรับฝากยาเสพติดที่ใช้บริการไม่หมด และจัดให้มีการเล่นพนันผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ การตรวจค้นพบนักท่องเที่ยวชาวจีน 237 คน เป็นชาย 111 คน เป็นหญิง 126 คน และมีพนักงานชาวไทยและกัมพูชา 29 คน ตรวจสอบพบว่ามีผู้ที่เสพยาเสพติดประเภทเคตามีน 78 คน สารภาพ 48 คน ส่งฟ้องต่อศาลได้เลย ส่วนอีก 30 คนปฏิเสธ จึงส่งฝากขังศาล

ส่วนคนอื่นควบคุมตัวที่สำนักงานตรวจคนเจ้าเมือง ซอยสวนพลู ให้ ตม.ตรวจสอบประวัติเดินทางเข้าออก พาสปอร์ต วีซ่า และทางการจีน เพื่อตรวจสอบคดีและหมายจับ

ต่อมามีนายสิทธิพงษ์ ถือสัตย์เที่ยง แสดงตัวเป็นผู้ดูแล พร้อมจับกุมนายไฮเทา หวง (HUANG HAITAO) อายุ 39 ปี สัญชาติจีน พร้อมยาเสพติดจำนวนมาก สารภาพรับยาจากพัทยา ขายตามห้องคาราโอเกะ โดยยาเค กรัมละ 25,000 บาท Happy water ซองละ 10,000 บาท เร่งตรวจสอบมีนายทุนจีนหนุนหลังหรือไม่อย่างไร

ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะสืบสาวพบเครือข่ายโยงใยจำนวนมาก

รองผบ.ตร.

เปิดชื่อ 5 มาเฟียจีนในไทย

ยิ่งตอกย้ำว่าไม่ใช่เรื่องปกติ เมื่อนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย เปิดแถลงทันทีว่า นี่คือโมเดลผับศูนย์เหรียญที่ต่อยอดมาจากทัวร์ศูนย์เหรียญ

พร้อมอธิบายว่า สถานบันเทิงแบบนี้จะรับลูกค้าที่เป็นคนจีนเท่านั้น มีการรับฝากยาเสพติดที่เสพไม่หมด ไม่ต้องเสี่ยงเจอด่านตรวจตำรวจ

สถานบันเทิงดังกล่าวไม่ได้เป็นแค่เพียงผับ แต่ยังเปิดเป็นบ่อนการพนันด้วย แถมยังนำน้ำดื่ม สุรา บุหรี่ เข้ามาจากประเทศจีน จ้างคนจีนเป็นเด็กเสิร์ฟ จึงเรียกสถานบันเทิงประเภทนี้ว่า “ผับศูนย์เหรียญ” คือ เจ้าของเป็นคนจีน ของทุกอย่างมาจากประเทศจีนหมด เข้ามาทำธุรกิจสีเทาอย่างยิ่งใหญ่ในประเทศไทย โดยไม่ต้องไม่เกรงใจคนไทยเลยแม้แต่น้อย

เพราะนายทุนจีนชอบจ่ายหนักให้เจ้าหน้าที่รัฐ เลยสามารถเปิดธุรกิจสีเทาได้อย่างเต็มที่ ทั้งย่านรัชดาภิเษก, สุทธิสาร, ห้วยขวาง, พระราม 2 และพัทยา มีเจ้าพ่อเมืองหลวงซึ่งเป็นนักการเมืองใหญ่ให้ความคุ้มครอง ทำหน้าที่หาเงินสีเทาเพื่อเอาไปให้กลุ่มการเมือง เพื่อเป็นทุนในการใช้เลือกตั้งในครั้งต่อไป

พร้อมระบุอีกว่า มีข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการนายทุนจีนสีเทา และคนรับเงินผลประโยชน์ที่ตำรวจต้องรู้ไว้เพื่อปราบปราม

นอกจากนี้ยังเปิดโปง 5 กลุ่มมาเฟียจีน ว่ามีตั้งแต่กรุงเทพฯ พัทยา ไปจนถึงภูเก็ต โดยคนกลุ่มนี้ถือ 2 สัญชาติ ทั้งไทยและจีน เมื่อทำผิดก็หอบเงินหนีกลับประเทศ ใช้วิธีเอาชื่อคนตายสวมบัตรประชาชน จ้างคนไทยเปิดบริษัทนอมินี เอาเงินสกปรกจากจีนมาฟอกขาวในไทย

ฉากหน้าเป็นผับบาร์ ร้านอาหาร แต่หลังฉากมีทั้งบ่อน ยาเสพติด และคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ แล้วเอาเงินกว้านซื้อที่ดินโดยใช้ชื่อบริษัทนอมินีเป็นเจ้าของโฉนด

โดย 5 มาเฟีย ประกอบด้วย 1. “ต.ห.” คนจีนแปลงสัญชาติไทย ที่เกี่ยวกับผับยานนาวาที่เพิ่งจับ แต่คนมีสีหิ้ว ต.ห.ออกจากโรงพักปล่อยตัวไปเพราะกลัวกระเทือนพรรคใหญ่

2. “โทนี่” สไตล์จีนชอบโชว์ นั่งโรลส์รอยซ์ เข้าถึงนักการเมืองไทย แจมสารพัดโครงการไม่ว่าหน้ากากอนามัย เอทีเค ทำผับ S.P. ลงทุน 4-500 ล้านบาท สนิทสนม สน.มักกะสัน ล่าสุด เตรียมขายหุ้นเผ่นเพราะท่าไม่ดี

3. “เดวิด” เจ้าของ BF ผับ ซี้นายพล ก. เคยจะเปิดบ่อน แต่โดนแฉเสียก่อน

4. “ยู่ ฉาง เฟย” อาณาจักรผับใหญ่พัทยา

และ 5. “หมิง” กับ “กู๋เอี่ยว” คุมทั้งรัชดา และพัทยา

ทั้งหมดมีกงสีใหญ่คือ “เจ้าเหว่ย” ที่อยู่นอกประเทศ

เป็นการเปิดโปงที่น่าตะลึง!!

ยึดรถหรู

ผบ.ตร.เข้ม-กวาดล้างทุนสีเทา

ขณะที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงงานป้องกันปราบปราม พร้อมมอบหมายให้ดูแลจัดระเบียบสถานบริการทั่วประเทศ โดยให้ดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 22/2558 และแก้ไขเพิ่มเติมที่ 46/2559

โดยทุกสถานบริการ หรือสถานประกอบการที่เปิดบริการคล้ายสถานบริการ ต้องไม่ยินยอม ปล่อยปละละเลยให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปใช้บริการ ไม่เปิดเกินเวลา ไม่ปล่อยให้มีการพกพาอาวุธ วัตถุระเบิด ยาเสพติดเข้าไปในสถานบริการ รวมถึงต้องไม่มีการค้ามนุษย์ในสถานบริการ หรือปล่อยให้มีการเล่นการพนันในสถานบริการ

ย้ำให้ตำรวจต้องลงตรวจสอบเรื่องสถานบริการให้เข้มข้น ผกก.หรือหัวหน้าสถานี ต้องลงไปดูด้วยตนเอง ส่วนระดับกองบังคับการ ต้องลงมาสุ่มตรวจสอบ หากพบว่าที่ใดปล่อยปละละเลย ต้องดำเนินการทางปกครองและวินัยกับท้องที่ด้วย

นำมาซึ่งปฏิบัติการของ 2 รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ปูพรมตรวจค้น 35 จุดใน 7 จังหวัด เมื่อคืนวันที่ 31 ตุลาคม ตรวจค้นบ้านของ “เดวิด” หรือ “สุ่ย ไท่ เหว่ย” ในเขตวัฒนา กทม. ยึดรถยนต์หรูหลายคัน

ขณะที่ ตร.พัทยา จับกุมนายนิติพัฒน์ หรือโกเอี่ยว โชคชัยธนพร ที่อ้างว่าตำรวจรับส่วย พบเป็นนอมินี ทำธุรกิจแทน ส่วนที่มุกดาหาร จับกุม นาย “ยู่ ฉาง เฟย” ที่เตรียมหลบหนีไปประเทศลาว

พร้อมกันนั้นยังดำเนินคดีกับตำรวจนอกรีต ประกอบด้วย พ.ต.ท. สน.ลาดพร้าว ในความผิดฐานให้ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำ หรือประวิงการกระทำ อันมิชอบด้วยหน้าที่

รวมทั้ง พ.ต.ต. และ ร.ต.อ.สังกัด สน.ยานนาวา ถูกดำเนินคดีฐานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบฯ กรณีส่งฟ้องผู้ต้องหาชาวจีนในคดีผับจินหลิง แต่เมื่อผู้ต้องหาได้ประกัน ไม่ส่งไปให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองควบคุม

เป็นการทำหน้าที่กวาดล้างอาชญากรรมจากองค์กรตำรวจ

ซึ่งต้องรอดูบทสรุปว่าจะลงเอยอย่างไร!!!