โรตีของฮะซัน | ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด : บรรจง บุรินประโคน

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด | บรรจง บุรินประโคน

โรตีของฮะซัน

 

(1)

“กิ้งก่าไม่เคยเข้าโรงเรียน

มันรู้แต่เพียงว่า

เมื่อยามหิว ยามหวาดกลัว

ตัวมันกลายเป็นต้นไม้ หรือใบไม้ได้”

คงไม่มีใครทราบได้ว่าชีวิตวันนี้ หรือในภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร คงเป็นเหมือนกับเขา “ฮะซัน” เด็กหนุ่มอายุอานามไม่น่าจะเกิน 25 ปี ผมเจอเขาครั้งแรกระหว่างโดยสารรถประจำทางเข้าเมือง ขณะยืนรอโดยสารประจำทางสองมือของเขามีถุงพลาสติกหิ้วพะรุงพะรัง แต่รอยยิ้มพร้อมนัยน์ตาดำขลับ ไม่ต่างกับเส้นผมที่หยักศกและสีผิวของเขานั้นดูเป็นมิตร ผมแสดงท่าทาง พร้อมกับเอ่ยปากช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะปฏิเสธ พร้อมพูดภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ ว่า “ขอบคุณครับ ผมถือได้ครับ”

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผมจึงได้เห็นและจดจำเขาได้อีกครั้ง เมื่อเขาในท่าทางขะมักเขม้น ยืนตีแป้งโรตีมะตะบะ อยู่หน้าคณะศิลปกรรม ในมหาวิทยาลัย โดยมีนักศึกษาชายหญิงยืนต่อคิวรออยู่หน้าร้านชั่วคราวของเขา ซึ่งเป็นรถจักรยานซาเล้ง เพียงระยะเวลาไม่นาน หลายคนก็เดินออกมาพร้อมโรตีมะตะบะส่งกลิ่นหอมอบอวลของเนยและแป้งโรตี อันเป็นสูตรเฉพาะของอาหารจากแดนภารตะ ผมยกมือทักทายเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะแสดงทีท่างุนงง ก่อนพูดภาษาไทยสำเนียงอินเดียว่า “ผมจำคุณได้”

เหตุการณ์ในวันนั้น มันทำให้ผมจดจำรสชาติโรตีมะตะบะของเขา และจดจำ “ฮะซัน” เด็กชายขายโรตี แห่งรัฐยะไข่ ผู้ออกจากบ้านเพื่อตามหาพ่อ โดยมีเงินติดกระเป๋าเพียง 300 บาท ใช่…ผมยังจดจำเขาได้ดี ชายหนุ่มรูปร่างผอม ในชุดกางเกงขายาวเสื้อแขนยาว นัยน์ตาเข้ม ผู้มีรอยยิ้มเป็นมิตรแก่ผู้พบเห็น หรือผู้ผ่านทาง

เสียงแตรปี๊บๆ ดังมาแต่ไกล พร้อมแสงไฟดวงจิ๋วส่องสว่าง บางครั้งมีเสียงหมาเห่าตาม ชาวบ้านชุมชนแถบนั้นต่างรู้ดีมันคือเสียงแตรของเด็กชายขายโรตี ที่หลายคนเรียกเขาว่า “อาบัง” พร้อมกับร้องสั่งโรตี ทั้งธรรมดา พิเศษ กระทะวงกลมที่ส่งความร้อนจากเตาแก๊สบนรถซาเล้งพ่วงข้างจักรยานนั้นแทบไม่เคยเย็นเยียบ คงมิต่างจากภายในใจของเขา “ฮะซัน” ที่ยังคุกรุ่น ว้าวุ่นอยู่กับเรื่องราวการพลัดพรากจากแม่พ่อ พี่น้องที่เคยเติบโตมาด้วยกัน จนต้องระหกระเหินจากถิ่นฐานบ้านเกิด โดยไม่มีทางได้รู้เลยว่า วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ชีวิตจะเป็นไปอย่างไรต่อไป… แป้งโรตีที่เขาเตรียมมาในกระป๋องนม จากที่อัดเต็มกระป๋อง บางครั้งกลับไม่พอขาย หากบางวันมีงานมหรสพ ไม่ว่าจะเป็น งานดนตรี หมอลำ โดยเฉพาะอย่างหลัง แป้งโรตีขนาดใหญ่กว่าหัวแม่มือที่เขาเตรียมมาในกระป๋องนม ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนเกือบเท่ากระทะทรงกลม สองมือนั้นระวิง ทั้งแซะ พลิกโรยน้ำตาล ราดนมข้น ตอกไข่ บางครั้งดูเหมือนว่าเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ

คนขายโรตี นัยน์ตาเข้ม ผู้ขุดฝังความในใจมาเนิ่นนาน

 

(2)

“ไมยราบสงบนิ่ง

มีเพียงใบสีเขียวที่แวววาว

หลังปล่อยให้หยดน้ำค้างหยอกล้อกับแสงแดด

แต่ใครจะรู้บ้างว่า หนามไมยราบใต้ใบสีเขียวขจีนั้น

พร้อมเสมอหากใครคิด เหยียบย่ำ หรือรังแก”

คืนวันหนึ่ง ขณะผมขับรถจักรยานยนต์กลับมาบ้าน ระหว่างทางคล้ายผมเห็นรถจักรยานซาเล้งของฮะซันจอดอยู่ข้างทาง แต่ก็ไม่เห็นฮะซัน ดวงไฟที่ติดอยู่หน้ารถยังคงส่องแสงสว่าง ผมค่อยๆ ชะลอรถ ก่อนตีวงเลี้ยวกลับมายังร้านโรตีชั่วคราวของฮะซัน ก่อนจะพบว่า ฮะซันนอนสลบนิ่งอยู่ สังเกตที่มือมีร่องรอยบาดแผล และมีเลือดไหล บางจุดเลือดแห้งกรัง ด้วยความตกใจ ผมเรียกชื่อฮะซัน ก่อนเขย่าตัวเขา ไม่นานฮะซันก็ตื่น ก่อนส่งเสียงโอดครวญ แสดงอาการเจ็บปวด บอกผมเพียงว่า “ช่วยผมด้วย ผมโดนปล้น” ก่อนผมจะบอกให้ฮะซันใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด และหลังจากนั้นผมจึงได้พาเขามาส่งโรงพยาบาล แต่ไม่ทันจะถึงโรงพยาบาล เขาก็สะกิดบอกผมว่าเขาเข้าโรงพยาบาลไม่ได้ ผมเองก็ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไร

ภายหลังต่อมา ผมกับฮะซันเราเลยสนิทกัน บางครั้งผมกลับมาจากบ้าน ผมก็จะเอากล้วยหอมมาฝากฮะซัน ซึ่งเขาเองก็มักจะแสดงน้ำใจ ด้วยการขอซื้อเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในธุรกิจโรตีของเขา แต่บ่อยครั้งที่แม่ของผมฝากขนมมาให้ฮะซันด้วย แม้ว่าแม่จะไม่เคยได้พบกับฮะซันมาก่อน แต่จากเรื่องเล่าของผมเกี่ยวกับฮะซัน ที่แม่ได้ฟังทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน ทำให้แม่สัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรของฮะซันกับลูกชายของแม่ ทุกครั้งที่ผมกลับมาจากบ้าน ฮะซันจึงรู้ทันทีว่าตัวเองจะได้รับของฝากจากแม่เสมอ

จากเหตุการณ์ที่ฮะซันโดนปล้นคืนนั้น ผมทำได้เพียงปิดปากนิ่งเงียบ ไม่กล้าที่จะพูดกับใคร ด้วยฮะซันห้ามเอาไว้ ก่อนจะรู้ทีหลังว่า ฮะซันเข้ามาในประเทศไทยแบบผิดกฎหมาย สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับราชการ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ต่างๆ เขาจะเลี่ยงหลบ ฮะซันบอกผมเพียงว่าเอกสารของเขาอยู่กับพ่อหมด ทำให้เขาไม่มีเอกสารอะไรติดตัวเลย มีเพียงเงิน 300 บาท ที่เหลือจากการซื้อน้ำ ก่อนจะพลัดหลงกับพ่อของตัวเอง และระหกระเหินจนมาถึงดินแดนแห่งการศึกษา ตักสิลานครแห่งนี้

ฮะซันกลับมาขายโรตีอีกครั้ง หลังจากพักรักษาตัวอยู่นาน ฮะซันมักจะยิ้มที่มุมปาก ขณะสองมือระวิงอยู่กับแป้งโรตี กลางคืนสำหรับความคิดของฮะซันจึงเสมือนสถานที่ที่เขารู้สึกปลอดภัยที่สุด สำหรับการอำพรางบางอย่าง โดยเฉพาะความในใจของเขา

บ่อยครั้งที่ฮะซันเล่าถึงชีวิตในวัยเด็กของเขากับเพื่อนๆ ผมมักถามเขาเสมอถึงหมู่บ้านที่เขาจากมา เขาเล่าให้ผมฟังว่า เขามีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงบ้าน แม้ว่าบ้านของเขาจะเหมือนทะเลเพลิงในปัจจุบัน ฮะซันบอกผมว่าย่าของเขาเป็นคนถ่ายทอดวิชาการทำโรตีให้กับเขา และเขาเองก็ไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งเขาจะได้ใช้วิชาของย่าเพื่อเลี้ยงดูชีวิตของตัวเอง ฮะซันบอกกับผมว่าที่จริงเขาเองไม่ชอบกินโรตีเลย แต่ทุกวันนี้โรตีของเขากลับเป็นเหมือนพาสปอร์ตนำพาชีวิตของเขาให้รู้จักโลกอีกใบที่เขาเองไม่เคยได้สัมผัสหรือรู้จักมาก่อน

“หนอนว่ามนุษย์โง่พิลึก ที่ไม่กินหนังสือของตนเอง” ผมกล่าวหลังจากที่เห็นว่าฮะซันดูเงียบไป

ฮะซันกล่าวหลังจากที่ได้ยินผมพูด “บางทีเขาอาจเป็นมนุษย์โง่คนนั้น ที่แม้แต่หนังสือก็ไม่มีให้กัดกิน”

วันนั้นหลังจากที่ฮะซันเก็บของ แป้งโรตีที่เตรียมมาหมดเร็วเกินคาด ขณะเวทีหมอลำยังคงครึกครื้น ผู้คนที่มาเที่ยวงานเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เรายืนคุยกันอยู่นาน คืนนั้น หากมีใครลอบมองมาทางผมกับฮะซัน จะเห็นว่ามีชายร่างผอมคนหนึ่งกับชายร่างท้วมยืนคุยกันอย่างออกรสออกชาติ แต่จะมีใครได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เราคุยกันบ้าง ว่าเรื่องคืนนั้นเป็นอย่างไร ฮะซันบอกผมว่า ที่จริงแล้วเขากับพ่อยังอยู่ด้วยกัน พ่อขายโรตีอยู่ฝั่งเมือง เขาขายอยู่อีกฝั่งบ้าน ก่อนบอกว่า คืนที่ผมเจอเขาถูกปล้น วันนั้นเถ้าแก่เกิดความไม่พอใจที่เขาแอบซ่อนเงินจากการขายโรตี เลยสั่งให้ลูกน้องมาสั่งสอน เพราะโดยปกติทั้งรถซาเล้ง อุปกรณ์ขายโรตีต่างๆ เถ้าแก่จะเป็นคนจัดการให้ทุกอย่าง โดยมีรถรับ-ส่งไว้เป็นจุดๆ ลูกน้องจะเป็นคนคอยเก็บเงินแล้วนำส่งเถ้าแก่ ฮะซันกับพ่อจึงเสมือนเป็นแรงงานที่ถูกหลอกมาเพื่อขายโรตี โดยแลกกับการมีชีวิตที่ไม่ต้องคอยวิ่งหนี หรือหลบซ่อนเผด็จการทหารในหมู่บ้านของตัวเอง

ฮะซันกล่าวขอโทษกับผม ก่อนบอกว่าขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่มีให้ แล้วฮะซันก็ไม่ลืมที่จะฝากคำขอบคุณไปถึงแม่ของผม

ขณะเวทีหมอลำยังคงครึกครื้น ผู้คนที่มาเที่ยวงานเริ่มทยอยเดินทางกลับ ผมบอกลาฮะซัน คืนนั้น หากมีใครลอบมองมาทางผมกับฮะซันในเวลานี้ จะเห็นว่ามีชายร่างผอมคนหนึ่งกับชายร่างท้วมกำลังสวมกอดกัน และหากจะมีใครได้ยินเสียงที่เราคุยกัน ก็จะได้ยินเสียงของชายนัยน์ตาเข้มเศร้าสำเนียงแปร่งๆ คนหนึ่ง พูดว่า

“นายโชคดีที่ประเทศของนายไม่มีสงคราม” •