เผชิญหน้า หลวงจีน เผชิญหน้า ด่านพยุหอรหันต์ กับดัก ทารก ‘บู๊ลิ้ม’ | บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

เผชิญหน้า หลวงจีน

เผชิญหน้า ด่านพยุหอรหันต์

กับดัก ทารก ‘บู๊ลิ้ม’

 

ไม่ว่าการเดินทางไปเยือนอาฮุยของลิ่มเซียนยี้ ณ ศาลร้าง ไม่ว่าการชี้เบาะแสของลิ่มจ้งก้วง ณ ปากประตูใหญ่

ล้วนผ่านการวางแผน

หากไม่มีการวางแผนแล้วเหตุใดจึงต้องปรากฏเงาร่างอิ่วเล้งเซ็งภายใต้เสื้อนวมเขียวภายในห้องเก็บฟืน

หากไม่มีการวางแผนแล้วเหตุใดจึงต้องมีฉั้งฉิก

ไม่เพียงแต่มีฉั้งฉิกพร้อมกับมือเกาทัณฑ์เทพยดาอันต่อยอดมาจากความคิดประดิษฐ์สร้างของท่านขงเบ้งง้างสายรออยู่ 10 กว่าคน

หากไม่มีการวางแผนแล้วเหตุใดจึงต้องมีเตี่ยเจี่ยหงีพร้อมกับดาบทอง

หากไม่มีการวางแผนเมื่ออาฮุยรอดพ้นจากการตกเป็นเป้าของเกาทัณฑ์เทพยดาแล้วจึงต้องปะเข้ากับด่านอรหันต์ของวัดเสียวลิ้มยี่

ถามว่าทั้งๆ ที่บาดเจ็บอาฮุยตีหักด่านของเสียวลิ้มยี่ไปได้หรือไม่

เบื้องหน้า “ค่ายกลอรหันต์” (ล้อฮั่นติ่ง) จำลอง อาฮุยสูดลมหายใจลึกๆ คำหนึ่ง ขณะร่างกลับไม่ขยับเคลื่อนไหว

อาฮุยดูออกว่าหลวงจีนเหล่านี้มิเพียงมีพลังฝีมือสูงล้ำ

หากแต่ การผสมผสานของท่าร่างยิ่งแนบเนียน ไร้ช่องโหว่ แม้แต่สายน้ำยังมิอาจสาดกระเซ็นเข้าไปได้

เมื่อมันอายุ 8-9 ขวบเคยเห็นกระเรียนตัวหนึ่งถูกงูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่งกักไว้

จะงอยปากของกระเรียนแม้แหลมคม กลับไม่กล้าจิกจู่โจม อาฮุยความจริงประหลาดใจ ภายหลังค่อยทราบว่ากระเรียนรู้ซึ้งถึงนิสัยประจำตัวของอสรพิษ

งูเหลือมตัวนี้พอขดตัวไว้ ส่วนหัวและหางเชื่อมต่อกันจะมีความรวดเร็วราวอสนีบาตสายฟ้า หากจะงอยปากเหล็กของมันจิกใส่หัวงู ขากระเรียนต้องถูกหางงูรัดไว้ หากเปลี่ยนเป็นจิกใส่หางคงต้องถูกงูฉกทำร้าย

ดังนั้น กระเรียนจึงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว

รอจนงูเหลือมอดรนทนไม่ได้ ชิงเป็นฝ่ายจู่โจม จะงอยปากเหล็กของกระเรียนก็จิกใส่ตำแหน่งใต้คอ 7 นิ้วของงูเหลือม

รวดเร็วดุจสายฟ้า

อาฮุยหมอบดูอยู่บนต้นไม้เป็นเวลาทั้งคืนจึงเข้าใจ “หัวหางติดต่อ” เป็นเคล็ดสำคัญของการเดินทัพก็จริง แต่หากสามารถปฏิบัติถึง

“ใช้สงบสยบเคลื่อนไหว ใช้กระปรี้กระเปร่าทำลายระโหยโรยแรง”

ยิ่งจะสามารถได้ชัยมั่นคงกว่า

เหตุผลนี้อาฮุยไม่เคยลืมมาเลย ดังนั้นเอง เมื่อหลวงจีนเสียวลิ้มยี่ไม่เคลื่อนไหว อาฮุยก็ไม่ยอมเคลื่อนไหวอย่างเด็ดขาด

ซิมไบ๊ไต้ซือกลับเป็นฝ่ายส่งเสียง “หรือประสกคิดงอมือให้จับกุม”

คำตอบจากอาฮุยคือ “ไม่” ภายใต้เหตุผลอันรวบรัด “ท่านไม่ฆ่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่อาจฆ่าท่าน ข้าพเจ้าก็ทะลวงออกไปไม่ได้”

“หากประสกสามารถฆ่าอาตมา อาตมามรณภาพก็ไม่ตำหนิ”

“ตกลง” สิ้นคำจากปาก อาฮุยถึงกับเคลื่อนไหว พอเคลื่อนไหวก็มีความเร็วดั่งสายฟ้าแลบ

แลเห็นประกายกระบี่แทงเข้าใส่คอหอยซิมไบ๊ไต้ซือ

ร่างหลวงจีนก็เคลื่อนไหวเช่นกัน ฝ่ามือแข็งแกร่งทั้ง 8 ฟาดเข้าใส่อาฮุยโดยพร้อมเพรียงโดยมิได้คาดว่ากระบี่ของอาฮุยพอแทงออก

เท้าพลันแปรเปลี่ยน

มิว่าผู้ใดต่างดูไม่ออกว่าเท้าของอาฮุยเปลี่ยนแปรไปเยี่ยงไร เพียงเมื่อรู้สึกร่างของมันพลันเปลี่ยนทิศทางไปในบัดดล

นี่ย่อมเป็นลีลา นี่ย่อมเป็นกระบวนท่า

จากการบรรยายของ “โกวเล้ง” ตามสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง กระบี่นั้นแทงใส่คอหอยซิมไบ๊ไต้ซือชัดๆ ตอนนี้พลันเปลี่ยนทิศทาง

ทำให้ฝ่ามือของสมณะอีก 4 รูปคล้ายจงใจส่งให้กระบี่อาฮุยแทงอย่างยินยอม

“ประเสริฐ” เป็นเสียงจากซิมไบ๊ไต้ซือ

เมื่อเสียงดังขึ้น แขนจีวรสะบัดขึ้น พลังอันดุดันพลันพุ่งมาแหลมคมดั่งมีดใหญ่ นั่นคือ วิชา “แขนเสื้อเหล็กเสียวลิ้ม” (เสียวลิ้มทิชิ่ว)

ทั้งจู่โจมใส่จุดที่อาฮุยจำเป็นต้องช่วยตัวเองก่อน

หลวงจีนทั้ง 4 แม้ประสบภัยคับขัน แต่ตัวเองกลับไม่ต้องลงมือคลี่คลายช่วยเหลือเลย นี่ก็เป็นอานุภาพของ “พยุหล้อฮั่น” อันน่าสะพรึงกลัว

พริบตานั้น กระบี่ของอาฮุยถึงกับเปลี่ยนทิศทางอีก

หากเป็นผู้อื่นเมื่อเปลี่ยนกระบวนท่าของกระบี่ อย่างมากก็กระทำเพื่อเปลี่ยนเป้าหมายเท่านั้น แต่สำหรับอาฮุยเมื่อเปลี่ยนกลับเปลี่ยนไปทั้งทิศทาง

กระบี่ที่ความจริงแทงสู่ทิศบูรพา พลันกลับกลายเป็นแทงใส่ทิศประจิม

ความจริง กระบี่ของอาฮุยมิได้เปลี่ยนแปรเลย หากที่เปลี่ยนแปรกลับเป็นที่เท้าทั้งสองของมัน

ความรวดเร็วของการแปรเปลี่ยนนับว่าผู้คนไม่กล้าเชื่อถือถึงกับมีเท้าเยี่ยงนี้อยู่

 

บังเกิดเสียงขวับเบาๆ ปรากฏว่าที่แขนจีวรของซิมไบ๊ไต้ซือถูกแทงทะลุไปแล้ว จากนั้น ประกายกระบี่พลันกลายเป็นรุ้งยาว

ร่างและประกายกระบี่คล้ายผนึกเป็นน้ำหนึ่งอันเดียว

รุ้งกรีดผ่าน ร่างติดตาม ทะลวงออกจากวงล้อม อาฮุยเสี่ยงอันตรายลงมือ ด้านหนึ่ง ถึงกับได้ผลเพราะโชคช่วย แต่กลับลืมว่าได้เปิดช่องว่างขึ้นที่ด้านหลัง

“ประสกช้าไว้ อาตมาน้อมส่ง” เป็นเสียงหนักของซิมไบ๊ไต้ซือ

อาฮุยรู้สึกมีพลังหนักหน่วงกระแทกเข้าที่กลางหลัง คล้ายเป็นค้อนเหล็กฟาดใส่ตรงกระดูกสันหลัง มาตรว่าสวมกิมซีกะ แต่เมื่อถูกจู่โจมก็ต้องร้อนวูบถึงทรวงอก

ร่างปลิวละลิ่วดุจว่าวขาดจากสายป่าน

แม้จะได้ยินเสียง “ไล่” ดังจากปากของหลวงจีนเคราเขียวพร้อมกับเหตุผลสำทับตามมาว่า “มันหนีได้ไม่ไกล”

ซิมไบ๊ไต้ซือรีบห้ามอย่างเยือกเย็น

“ไม่ต้อง ในเมื่อมันหนีได้ไม่ไกล เหตุใดยังต้องไปไล่อีก”

หลวงจีนเคราเขียวเมื่อได้ยินก็นำเข้าสู่กระบวนการครุ่นคิดอย่างฉับไว ปรากฏรอยยิ้มขึ้นน้อมศีรษะก้มลง

“ซือเจ๊กสั่งสอนถูกต้อง”

 

จําเป็นต้องตามไปดูในอีกด้าน อาฮุยอาศัยพลังฝ่ามือทะยานกายขึ้น ขณะเดียวกัน ก็อาศัยการทะยานกายขึ้นนั้นสลายพลังฝ่ามือของฝ่ายตรงข้าม

พลังฝ่ามือของซิมไบ๊ไต้ซือหนักหน่วงสมคำเล่าลือ

อาฮุยทะยานข้ามหลังคาไป 2 หลังจึงพอฝืนใจยืนหยัดได้ จวบจนเมื่อทะยานอีกครั้งจึงได้พบว่าอวัยวะภายในบอบช้ำไปแล้ว

ในความคิดรู้สึกว่าเป็นอาการบาดเจ็บเพียงน้อยนิด ย่อมยังทนทานอยู่ได้

การฝึกอันลำบากตรากตรำ วันเวลาที่ยากเข็ญลำเค็ญ หลอมหล่อให้อาฮุยกลายเป็นคนที่ยากจะล้ม

ร่างกายคล้ายดั่งเป็นเหล็กไหลไปแล้ว

ม่านสนธยาคลี่หนาลงทุกขณะไม่เห็นมีผู้ใดอยู่รอบข้าง แต่ในความรู้สึกของมัน บนคาคบไม้ทุกต้น บนสันหลังคาทุกหลัง

แต่ละแง่มุมกลับต่างคล้ายมีศัตรูซุ่มดูอยู่ทุกแห่งหน

 

บทสรุปเช่นนี้ของอาฮุยน่าสนใจ น่าศึกษา ต้องยอมรับว่านี่เป็นผลพวงแห่งประสบการณ์และความจัดเจนโดยแท้

เป็นประสบการณ์จากการเรียนรู้ “โดยตรง”

กล่าวสำหรับสถานการณ์รุกเข้าไปในคฤหาสน์เมฆเรืองโรจน์ อาฮุยเรียนรู้จากที่ประสบในห้องเก็บฟืน

คิดจะไปหา “ลี้คิมฮวง” แต่กลับพบเห็น “คนอื่น”

ทั้งยังเป็น “คนอื่น” ที่มีการตระเตรียม ไม่ว่าภายในห้องเก็บฟืนและที่รอคอยอยู่ภายนอกพร้อมอาวุธหลากหลายครบมือ

สถานการณ์เช่นนี้ย่อมมิใช่ “อุบัติเหตุ” หรือ “บังเอิญ”

ประสบการณ์ที่สะสมมานั่นแหละกลายเป็นอาวุธอย่างดีในการต่อสู้และคลี่คลายสถานการณ์

แม้จะแกร่งกล้าราวเหล็กไหล แต่ก็ยังมีโอกาสต้องเผย “จุดอ่อน”

 

ภายในความรอบรู้ของอาฮุยจากประสบการณ์ “ตรง” ครั้งแล้วครั้งเล่า จุดอ่อนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าในความฉลาดนั้นมีส่วนที่ขาดหายไป

นั่นก็คือ ความเฉลียว

แม้กระทั่งหลุดพ้นจากค่ายพยุหอรหันต์ของวัดเสียวลิ้มยี่ มาประสบเข้ากับศัตรูแข็งกล้าที่รอคอยอีกผู้หนึ่งความเฉลียวก็ยังไม่บังเกิด

และนำไปสู่ “จุดเปลี่ยน” อย่างสำคัญต่อชีวิต “อาฮุย”