ธปท.ยันขึ้นดอกเบี้ยไม่ช่วยบาทแข็ง-ทุนสำรองไทยเทียบจีดีพีสูงกว่าสหรัฐและยุโรป

ธปท.ยันขึ้นดอกเบี้ยไม่ช่วยบาทแข็ง-ทุนสำรองไทยเทียบจีดีพีสูงกว่าสหรัฐและยุโรป

 

นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า กนง.มั่นใจว่าภาวะเศรษฐกิจจะกลับสู่ปกติภายในปี 2565 จากการฟื้นตัวด้านท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 21 ล้านคน โดยเป็นการฟื้นตัวแบบขาดสมดุล คือมีทั้งส่วนที่ฟื้นตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดเรื่อยๆ จนกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ (K Shape) แต่มีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อจากราคาพลังงาน และอาหารสด โดยเฉพาะราคาอาหารที่ปรับขึ้นไปแล้วลดลงมายาก อย่างไรก็ตาม คาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ระดับสูงสุดช่วงไตรมาส 3/2565 และกลับเข้าสู่ระดับเป้าหมายตามที่คาดการณ์ภายในปี 2565

ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลง และเกิดคำถามว่า ธปท.ขึ้นดอกเบี้ยช้าและน้อยเกินไปจนส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าหรือไม่นั้น หากดูการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่านมา ธปท.ได้ปรับดอกเบี้ยไปแล้ว 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.00% ต่อปี และหากดูเงินทุนเคลื่อนย้ายพบว่าปัจจุบันยังคงมีเงินทุนไหลเข้าสุทธิอยู่ที่ 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่าส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐต่างกันมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเกาหลี ปัจจุบันดอกเบี้ยสูงกว่าไทยที่ 2.5% แต่ค่าเงินวอนยังอ่อนกว่าไทย ดังนั้น จึงสะท้อนว่าการขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยทำให้เงินอ่อนค่าน้อยลง และการดำเนินนโยบายจะดูเฉพาะส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่ได้ต้องดูองค์ประกอบตัวอื่นในการพิจารณาด้วย

อย่างไรก็ตาม การดูแลค่าเงินบาท โดยเป้าหมายหลักของ ธปท.คือดูแลความผันผวนไม่ให้ค่าเงินที่มีระดับนำไปกว่าค่าเงินในภูมิภาคหรือประเทศเกิดใหม่ ซึ่งหากดูอัตราแลกเปลี่ยนของไทยตอนนี้ ถือว่าอ่อนค่าไม่ได้มากนัก หากเทียบกับประเทศอื่น

นายเมธีกล่าวว่า สำหรับเรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศที่ปรับลดลงปัจจัยหลักมาจากการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐ ประกอบกับในตระกร้าของทุนสำรอง ธปท. มีการกระจายความเสี่ยงไปในหลายสกุล ดังนั้น เมื่อเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าส่งผลให้ทุนสำรองของ ธปท.ลดลงตามการอ่อนค่าของเงินสกุลต่างๆ เทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ

นอกจากนี้ ปัจจุบันทุนสำรองของไทยไม่ได้ปรับลดลงจนน่าตกใจ หรือต่ำกว่าประเทศใกล้เคียง เพราะหากดูทุนสำรองของไทยวันนี้ ถือว่ายังสูงกว่าหลายประเทศอยู่ที่ 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ สูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลก และสูงเป็นอันดับ 6 เมื่อเทียบกับจีดีพี ซึ่งสูงกว่าสหรัฐและยุโรป และในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว ดังนั้น หากประเมินความมั่นคงด้านต่างประเทศ ถือว่าไทยยังแข็งแกร่งมากในด้านเสถียรภาพด้านต่างประเทศ จึงไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าห่วง

“ทุนสำรองที่ลดลงไม่ได้มาจากการสู้ค่าเงินบาท ซึ่งมีบ้างที่ ธปท.เข้าไปเพื่อเข้าไปดูแลลดความผันผวนของเงินบาท ซึ่งไม่เหมือนบางประเทศที่ประกาศเข้าไปดูแลค่าเงินทุกวัน“นายเมธีกล่าว