แคนดิเดตนายกฯ 2 ขั้ว/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

แคนดิเดตนายกฯ 2 ขั้ว

 

การเมืองไทยยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอยู่ต่อไป แม้ว่าเครือข่ายอำนาจ 3 ป.จะมีฐานสนับสนุนเหนียวแน่น ทั้งกองทัพ ขุมอำนาจอนุรักษนิยมการเมือง ในสภามี 250 ส.ว.พร้อมจะยกมือสนับสนุนในทุกเรื่อง แต่เพราะไม่รู้จักถอยบ้างในบางจังหวะ ด้วยมั่นใจในผู้หนุนหลังมากเกินไป ลงเอยก็เดินเข้าสู่จุดวิกฤตจนได้

โดยเฉพาะกับดักรัฐธรรมนูญ ที่เขียนกันขึ้นมาเอง ทำให้ตัวเองตกหลุมพรางนั้นเสียเอง

ตอนนี้ปัญหาวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปี ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ มานับเดือน

แล้วต้องไปรอลุ้นระทึกในวันที่ 30 กันยายนนี้ ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัย ว่าครบวาระ 8 ปีแล้วหรือยัง!?

วิกฤตเก้าอี้นายกรัฐมนตรี นอกจากจะมาจากรัฐธรรมนูญ ฉบับที่เขียนในยุคอำนาจรัฐบาลทหาร คสช.เองแล้ว

อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อมั่นในกลุ่มที่โอบอุ้มสนับสนุนมากเกินไป จนไม่รู้จักประเมินจังหวะก้าวให้ดี ไม่มีจังหวะรุกจังหวะถอย เดินหน้าแบบทื่อๆ ไปเรื่อยๆ

ในกรณีวาระ 8 ปีของนายกรัฐมนตรีนี้ มีความเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปลายปี 2564 เปิดประเด็นเอาไว้ว่า ปี 2565 เดือนสิงหาคม จะเป็นช่วงร้อนระอุในการตีความวาระ 8 ปีนายกฯแน่ๆ

เชื่อว่าเครือข่าย 3 ป.ไม่ได้ใส่ใจความเคลื่อนไหวเหล่านี้ เพราะคิดเอาเองว่า เดี๋ยวก็คงผ่านไปเหมือนเรื่องอื่นๆ ไม่มีใครทำอะไรนายกฯ คนนี้ได้

ที่ผ่านๆ มา มีปัญหาร้องเรียนกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาหลายเรื่องใหญ่ ลงเอยก็ผ่านสะดวก

ไม่ได้จับตากระแสผู้คนในสังคมกรณีนี้ ว่าได้ยกระดับความรับรู้ทางข้อกฎหมาย ได้ศึกษาข้อบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ ผ่านคำแถลงการณ์ของเหล่านักวิชาการนิติศาสตร์หลายสถาบัน ผ่านการอธิบายของผู้รอบรู้ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ

ทำให้ทั้งสังคมมีความเข้าใจข้อกฎหมายและประเด็นรัฐธรรมนูญ ในกรณีวาระ 8 ปีนายกฯ อย่างทะลุปรุโปร่ง ส่งผลให้เรื่องนี้จะจบแบบง่ายๆ สบายๆ ไม่ได้อีกแล้ว

เพราะคนทั้งสังคมรู้เท่าทันรายละเอียดของกรณี 8 ปีนายกฯ ทุกแง่มุม

เมื่อประกอบเข้ากับกระแสความเบื่อหน่ายรัฐบาล อันเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจกระทบปากท้องประชาชนอย่างหนักมาหลายปี

ไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลที่มีนายพลเอกเป็นผู้นำ จะมีวิสัยทัศน์แหลมคมในการพลิกฟื้นสถานการณ์เศรษฐกิจได้อย่างไร

ทั้งหลายทั้งปวงกลายเป็นแรงกดดันนายกรัฐมนตรีอย่างหนัก ในการนับวาระการเป็นนายกฯ 8 ปี

 

การโดนพักปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นเวลายาวนานกว่าเดือน จนกว่าจะถึงวันสรุปคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดในวันที่ 30 กันยายนนี้

กลายเป็นช่วงเวลาที่ตอกย้ำความรู้สึกของประชาชนว่า ตลอดช่วงการเป็นนายกฯ ปกติของ พล.อ.ประยุทธ์ กับช่วงที่โดนพักหน้าที่ มีความแตกต่างกันขนาดไหน

ยิ่งเมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาทำหน้าที่รักษาการนายกฯ แทน กลับมีความเป็นมวยมากกว่า มีความสามารถในการประสานกับฝ่ายต่างๆ ได้ดีกว่า ไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่วางอำนาจ

ทำให้ทั่วทั้งสังคมรู้สึกว่า การเมืองไทยผ่อนคลายไปมาก แม้ว่ายังเป็นยุค 3 ป.ครองอำนาจอยู่ก็ตาม

จนเริ่มมีเสียงเชียร์ว่า ควรเปลี่ยนจาก พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็น พล.อ.ประวิตร คือให้ขึ้นทำหน้าที่นายกฯ เต็มตัว รอเวลาเหมาะสมเมื่อกฎหมายเลือกตั้งเสร็จสมบูรณ์หมด ก็ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจใหม่

ประชาชนเริ่มรู้สึกว่า พล.อ.ประยุทธ์คงต้องพ้นเก้าอี้ไปแล้วแน่นอน อะไรประมาณนั้น

ดังนั้น ผลการวินิจฉัยในวันที่ 30 กันยายนนี้ ไม่ว่าจะออกทางไหน ซึ่งไม่มีใครล่วงรู้ได้ ไม่มีใครก้าวล่วงการวินิจฉัยของตุลาการได้

แต่ในทางกระแสสังคม จะต้องเกิดอะไรตามมาอย่างมากมาย

ถ้าลงเอย พล.อ.ประยุทธ์ต้องพ้นเก้าอี้ ทั่วทั้งสังคมก็คงจะเห็นแสงสว่าง เพราะการเมืองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ จะทำให้เศรษฐกิจมีโอกาสฟื้นได้

ถ้าลงเอย พล.อ.ประยุทธ์ได้อยู่ต่อไป กระแสสังคมจะเป็นเช่นไร คาดเดาได้ไม่ยาก!?

จนทำให้นักวิเคราะห์การเมือง เซียนการเมืองทั้งหลายมองเห็นว่า ถ้าเครือข่าย 3ป.ฉลาดและเหนือชั้นจริง ต้องอาศัยจังหวะนี้ชิงเปลี่ยนตัวนายกฯ เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกของคนในสังคม เพื่อทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นน่ายินดีกับสิ่งใหม่ๆ

เพื่อจะรักษาอำนาจ 3 ป.ให้เดินหน้าได้ต่อไปจนถึงปีหน้า

แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ การเดินหน้าไม่ยอมถอยของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อต้องหยุดปฏิบัติหน้ที่นายกฯ ก็รีบหันไปทำหน้าที่รัฐมนตรีกลาโหม อันเป็นอีกเก้าอี้ที่เหลืออยู่ อย่างเอาการเอางาน

แสดงว่ายังเดินหน้าอย่างแข็งทื่อต่อไป ยังมุ่งมั่นจะกลับมาเป็นนายกฯ ให้ได้ต่อไป

 

บรรดาผู้คนแวดล้อม พล.อ.ประยุทธ์ยังมองเลยต่อไปข้างหน้าว่า ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์รอดพ้นคำวินิจฉัย สามารถเป็นนายกฯ ต่อไปได้ ก็น่าจะเป็นไปตามที่พยายามต่อสู้คดีว่า ควรเริ่มนับเวลาตั้งแต่เมื่อรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ คือ 6 เมษายน 2560 เท่ากับจะอยู่ได้ต่อไปถึงเมษายน 2568

ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งหน้าในต้นปี 2566 หากได้เป็นนายกฯ อีก ก็จะอยู่ได้อีก 2 ปี

ถึงขั้นวางแผนเอาไว้ว่า การเลือกตั้งในปี 2566 พรรคพลังประชารัฐจะเสนอบัญชีรายชื่อผู้เหมาะสมเป็นนายกฯ 2 ราย

เบอร์ 1 คือ พล.อ.ประยุทธ์ เบอร์ 2 คือ พล.อ.ประวิตร ประกาศต่อประชาชนล่วงหน้าเลยว่าจะผลักดันเป็นคนละ 2 ปี

ประยุทธ์เป็นก่อน 2 ปี พอครบวาระ ก็เป็นคิว พล.อ.ประวิตรต่อไปอีก 2 ปี

วางกันล่วงหน้าขนาดนี้อย่างมั่นใจ เพราะล่าสุดการแก้รัฐธรรมนูญประเด็นปิดสวิตช์ 250 ส.ว.ทำไม่สำเร็จ ทำให้ 250 เสียงของตาย ยังพร้อมยกมือให้กับแคนดิเดตนายกฯ พรรคพลังประชารัฐดังเดิม

แต่นั่นก็มองเพียงด้านเดียว

เอาเข้าจริงๆ ยังคงมีอีกหลายปัจจัย สถานการณ์อาจแปรเปลี่ยนได้มากมาย

เพราะการเมืองไทยในยุค 3 ป. เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปทั่วทุกด้าน อะไรก็ยังเกิดขึ้นได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวคึกคักของพรรคเพื่อไทย ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะเกิดผลแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ยิ่งผลการตัดสิน 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าหากยังไม่มีการเปลี่ยนนายกฯ ยิ่งเข้าทางพรรคเพื่อไทย

ประชาชนส่วนใหญ่จะมองเห็นชัดแบบตาสว่างว่า ถ้าไม่เลือกฝ่ายประชาธิปไตยแบบถล่มทลาย ก็ยากจะเปลี่ยนการเมือง

การอยู่ต่อหรือไม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีผลต่อเพื่อไทยอย่างมากมาย

จนกล่าวกันว่าพรรคที่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์รอดคดี 8 ปีที่สุดคือเพื่อไทยนั่นเอง

เพราะถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ยังอยู่ยงคงกระพัน ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็ยังจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ คู่กับ พล.อ.ประวิตร

ส่งให้แคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทยยิ่งดูสดใสกาววาว โดยจะเสนอชื่อ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร กับเศรษฐา ทวีสิน มือธุรกิจเศรษฐกิจยุคปัจจุบันควบคู่ไปด้วย!