#ม็อบ10สิงหา65 : ชุมนุมเต็มลานพญานาค มธ.รังสิต ลั่นปชต.ต้องไปต่อ “นายกฯ-ครม.ต้องลาออก”

ลานพญานาค มธ.ศูนย์รังสิต ชุมนุมคึกคัก ปราศรัยเล่าความเป็นมาของขบวนการนักศึกษา ย้ำไม่ศิโรราบต่ออำนาจ ลุกต่อสู้ ส่งต่อสังคมที่ดีกว่าเดิม

 

วันที่ 10 ส.ค.2565 ที่ลานพญานาค ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการเมือง ร่วมกับเครือข่าย จัดกิจกรรม ’10 สิงหา ประชาธิปไตยต้องไปต่อ’ ซึ่งจัดในช่วงที่มหาวิทยาลัยเริ่มเปิดภาคเรียนในช่วงกิจกรรมรับเพื่อนใหม่ และยังเป็นครั้งแรกในรอบปี ที่กลับมาเปิดการเรียนแบบออนไซด์อีกครั้ง หลังจากบรรยากาศต้องเงียบเหงาลงจากการระบาดของโควิด-19 และเป็นเวลาครบรอบ 2 ปี หลังจากการจัดการชุมนุม 10 สิงหาคม 2563 ซึ่งได้สร้างปรากฎการณ์ทะลุเพดาน และอ่านประกาศข้อเรียกร้อง 10 ข้อเสนอในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้ดำรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย โดยในการชุมนุมครั้งนี้ มีแกนนำที่เคยขึ้นปราศรัยในปี 2563 อย่างปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และเบนจา  อะปัญ ซึ่งมาร่วมในฐานะผู้ร่วมชุมนุมคอยสังเกตการณ์การปราศรัยของผู้ขึ้นปราศรัยหน้าใหม่ ซึ่งบรรยากาศหลังพระอาทิตย์ตก จำนวนนักศึกษาและประชาชนก็มานั่งรวมตัวกันเต็มหน้าลาน

จากนั้นนายศรัณย์ สัชชานนท์ รองประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ขึ้นปราศรัยโดยเปิดประเด็นว่า มีบ้านใครที่ผู้ปกครองบอกว่าเป็นนักศึกษา มีหน้าที่เรียนก็เรียนไปอย่ามายุ่งกับการเมือง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เยาวชนหลายคนต้องประสบต้องพบเจอเป็นเวลานาน

เยาวชนหลายคนต้องยืนอยู่ในความหวาดกลัว เพราะรัฐได้กระทำต่อเราจนทำให้ผู้ปกครองไม่สามารถไว้วางใจให้เราได้แสดงออกตามสิทธิเสรีภาพตามที่เราควรจะเป็นได้

นายศรัณย์ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่มีขบวนการนักศึกษาในอดีตที่ออกมาเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยนับแสนคนเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญใหม่ แล้วทำไมจึงต้องยอมให้ผู้มีอำนาจรัฐกดขี่ในยุคนี้ด้วย

ต่อจากนี้ต่อให้เราจะโดนอำนาจกดขี่มากแค่ไหน ต่อให้คนเขียนกฎหมายจะเขียนกฎหมายมาเพื่อไม่ให้นักศึกษาเคลื่อนไหว จำกัดสิทธิเสรีภาพของนักศึกษา แต่มันจะไม่ได้ผลอีกต่อไป

เราและเยาวชนรุ่นต่อไปรวมถึงคนที่มีเจตนาจะต่อสู้เพื่อให้สังคมนี้เป็นสังคมที่ดีขึ้นเพื่อส่งต่อสังคมนี้ให้ลูกหลานต่อไปในอนาคต จะยังคงยืนหยัดต่อไป นักศึกษาจะส่งต่อพลังนี้ให้คนรุ่นหลังและยืนหยัดว่าจะไม่ยอมศิโรราบต่ออำนาจใดๆ

นายธัชพงศ์ แกดำ หรือบอย ปราศรัยถึงประเด็นนักโทษทางการเมืองและการยกเลิกมาตรา 112 ด้านอันนา จากนักเรียนเลว ขึ้นปราศรัยถึงเรื่องระบบการศึกษา เรื่องการโดนทำโทษด้วยการโดนตี เรื่องทรงผม กยศ.และเรื่องพ.ร.บ.การศึกษาที่ต้องได้รับการแก้ไข

ในเดือนที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการรับเรื่องร้องเรียนนักเรียนเลวเคยรับเรื่องเราไป 50 เรื่องต่อเดือน แต่นักเรียนเลวเคยรับเรื่อง 170 เรื่องสัปดาห์

นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ หรือเป๋า ผู้จัดการไอลอว์ กล่าวปราศรัยบนเวทีตอนหนึ่งว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าเราต้องเลือกแบบแลนด์สไลด์เพื่อไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาออกไป และเป้าหมายระยะสั้นต้องไล่พล.อ.ประยุทธ์ออกไป

นอกจากนี้ข้อกฎหมายต่างๆ ที่ออกโดยคณะรัฐประหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญปี 2560 หรือ แม้แต่ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ปัจจุบันมีผู้ถูกดำเนินในคดีดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ถูกดำเนินคดีดังกล่าว ให้รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม

รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน มิเช่นนั้นจะไม่สามารถทำลายมรดกของคณะรัฐประหารได้และประชาชนจะต้องเผชิญกับระบบการเมืองเดิม อย่างแน่นอน

ต่อมาในช่วงระหว่างการปราศรัย ได้มีการจำลองเหตุการณ์ชายชุดดำบุกขึ้นเวทีไปอุ้มผู้ปราศรัยลงมา พร้อมกับเสียงเพลงของมหาวิทยาลัยอย่างเพลงยูงทอง

จากนั้น นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่ แกนนำกลุ่มราษฎรโขงชีมูล ก็ได้ขึ้นปราศรัยต่อและเผยว่าการปราบปรามประชาชนด้วยความรุนแรง และการปิดปากด้วยกฎหมาย ยังเกิดขึ้นไม่รู้จบ และเราเองก็ไม่สามารถพูดสิ่งที่ควรจะพูดได้จบเสียที

การอุ้มเมื่อกี้เป็นเพียงการสาธิต แต่จริงๆ แล้ว มีหลายคนถูกตามไปถึงบ้าน จริงๆ แล้ว มีหลายคนถูกติดจีพีเอส มีคนจำนวนไม่น้อยที่ถูกใช้งบประมาณภาครัฐ ในการเจาะข้อมูล ด้วยพีกาซัส เหล่านี้คือสิ่งที่รัฐเผด็จการทำกับเรามาตลอด เราจะยอมอยู่ในภาวะเช่นนี้ต่อไปหรือไม่

สิทธิการประกันตัวนักกิจกรรมทางการเมือง ว่าขอให้เอาหลักฐานมาตบหน้า นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ว่าพูดเท็จอย่างไร อยากให้เอาหลักฐาน มาตบหน้าอานนท์สักทีหนึ่ง ขอให้เปิดเผยข้อมูลกับประชาชน

อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าเส้นชัยของเราจะอยู่ตรงไหน เราชนะหลายอย่าง เพราะคนเห็นด้วยกับเรามากขึ้น หน้าที่ของเราทุกคนคือ ต้องทำให้คนเห็นด้วยกับเราเพิ่มขึ้น มีหลายอย่างที่เรายังไม่ชนะ เราไม่ได้แพ้ แค่ยังไม่ชนะ ขอแค่ชนะครั้งเดียวเราจะชนะตลอดไป

อยากให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตย เงี่ยหูฟัง สิ่งหนึ่งที่สำคัญ พรรคการเมืองประชาธิไตย ต้องยอมรับข้อเรียกร้องของยุคสมัย ไม่มีสิทธิที่จะขี่ม้าเลียบค่าย พูดอะไรอ้อมๆ แล้วได้คะแนนเสียจากประชาชนอีกต่อไป ทั้งนี้นายอรรถพล และผู้ชุมนุม ร่วม ชู 3 นิ้ว ก่อนเปล่งเสียง “เผด็จการจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ”

หลังจากการแสดงดนตรีจากวงสามัญชนจบลง กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ร่วมกับเครือข่าย จัดกิจกรรม ‘10 สิงหา ประชาธิปไตยต้องไปต่อ’ ได้อ่านแถลงการณ์ 3 ข้อเรียกร้อง ซึ่งยังคงเป็นข้อเรียกร้องของกลุ่มราษฎร 2563 ที่ประกาศมาแล้ว คือ

1.นายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่ง
2.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
3.ปฏิรูปสถาบันฯ ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

ทั้งยังเชิญชวนประชาชนให้ร่วมกันจับตาการเลือกตั้งในครั้งหน้า พร้อมประกาศหลักคิด 6 ประการ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ดังนี้

1.การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการเลือกตั้งทั่วไป แต่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในการเคลื่อนไหวต่อสู้ระลอกปัจจุบัน

2.การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงทั่วๆ ไป แต่คือปฏิบัติการทางการเมืองในการแสดงอำนาจในเชิงจำนวนที่แท้จริงของประชาชนฝ่ายประธิปไตย

3.การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการลงคะแนนเสียง แต่คือตัวชี้วัดความเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อโดยรวมทั้งหมดของสังคมการเมืองไทย

4.การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการเลือกผู้แทน แต่คืออาวุธในการกลับขั้วอำนาจทางการเมืองที่ทรงพลังที่สุด ซึ่งไม่มีอาวุธใดสามารถทดแทนได้

5.การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการเลือกตั้ง แต่เป็นการเปิดโครงสร้างโอกาสทางการเมือง และเป็นประตูบานแรกสู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ

6.การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการเลือกตั้ง แต่คือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การปฏิรูปในทุกองคาพยพของสังคมอย่างแท้จริง

“ในสนามการเลือกตั้งจะเป็นจุดหมายที่สำคัญ ที่ประชาชนต้องได้รับชัยชนะเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดในการต่อสู้ จนกว่าจะได้รัฐบาลที่สามารถนำข้อเสนอทั้ง 3 ข้อไปปฏิบัติได้”

จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมร่วมกันร้องเพลง “เทียนหนึ่ง” ซึ่งเป็นฉบับที่ปรับเปลี่ยนเนื้อเพลง ก่อนร่วมกันตะโกนคำว่า “เผด็จการจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ” พร้อมชู 3 นิ้ว แสดงออกทางสัญลักษณ์ จากนั้นแกนนำประกาศยุติการชุมนุมมวลชนทยอยเดินทางกลับ