เรื่องสั้น : เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน

“เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน”

เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน เป็นใคร? นั่นเป็นคำถามหรือเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาถามกันแน่ เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน เริ่มเข้ามาในแฟลตด้วยฐานะคนเก็บของเก่า สภาพแกไม่ต่างอะไรกับคนที่ทิ้งสติไว้ในท่อระบายน้ำ ดูเผินๆ เหมือนคนไม่เต็มเต็ง ใส่เสื้อผ้ามอซอเก่าคร่ำ ผมสีดอกเลายาวรุงรังถึงกลางหลัง กระเซอะกระเซิงราวกับไม่เจอหวีมาหลายปี ใบหน้ากว่าครึ่งถูกอำพรางด้วยหนวดเครารกครึ้ม และยังถูกสวมทับด้วยแว่นสายตากรอบโทรม ริ้วรอยเหี่ยวย่นปรากฏชัดเจน บ่งบอกว่าผ่านวิบากกรรมของการเป็นมนุษย์มาแล้วไม่ต่ำกว่าหกสิบปี ไม่มีใครรู้ว่าแกพักอาศัยอยู่ที่ไหน จะเห็นแกแวะเวียนมาเก็บของเก่าในแฟลตบ้างสัปดาห์ละครั้งสองครั้ง

ผมเจอกับ เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน ครั้งแรกก็ตรงที่ทิ้งขยะของแฟลต แกกำลังก้มๆ เงยๆ คัดเลือกขวดพลาสติก และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เสียๆ ที่ชาวบ้านนำมาทิ้งไว้ พอเห็นผมแกยิ้มให้อย่างเบิกบาน พร้อมเอ่ยปากทักด้วยประโยคชวนพิศวง

“เจอกันจนได้นะสมเกียรติ”

“ลุงรู้ชื่อผมได้ยังไง?”

แกยิ้มแล้วชี้มาที่หน้าอกผม

“ป้ายพนักงานที่คุณห้อยคออยู่นั่นไง”

“แล้ว “เจอกันจนได้” นี่หมายความว่ายังไง?”

“โชคชะตาน่ะพ่อหนุ่ม บางครั้งชีวิตก็เหมือนการยืนรอรถเมล์ เราชะเง้อมองหารถสายที่เราต้องการจะขึ้น เมื่อมันมาจอดเทียบท่าเราก็ยิ้มร่าอย่างดีใจ”

ผมส่ายหัวยิ้มออกมา โยนขยะเปียกลงในถัง แล้วยื่นถุงใส่ขวดน้ำอัดลมที่อยู่อีกมือให้แกไปทั้งถุง

“ลุงพูดอะไรผมฟังไม่รู้เรื่อง เอ้า…นี่เป็นขวดน้ำอัดลมที่หมดแล้ว มันมีอยู่สามสี่ขวด ผมว่าลุงคงต้องการ”

แกยื่นมือออกมารับ “ขอบใจมากสมเกียรติ…คุณควรจะได้รู้ไว้ว่า ในอีกสองสามสัปดาห์ต่อจากนี้ น้ำจะเข้าท่วมเขตที่คุณอาศัยอยู่ และจะเข้าท่วมเกือบทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว”

ผมอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา

“น้ำไม่ท่วมหรอกลุง เขามีหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องตรงนี้อยู่ ใครเขาจะปล่อยให้เมืองจมไปกับสายน้ำ”

“คุณห้ามมันไม่ได้หรอก ก็เหมือนกับความสูญเสียบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นกับคุณ…เมื่อถึงเวลานั้นลุงได้แต่หวังว่า คุณจะเข้มแข็งพอ”

“นี่ลุงเป็นหมอดูด้วยเหรอ?”

“เปล่า…ลุงคือ เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน”

“แล้ว เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน เป็นใคร?”

“เป็นคนที่จะมาทำให้คุณดีขึ้น”

ผมเอื้อมมือไปแตะไหล่แก แล้วพูดกลั้วหัวเราะ

“ชีวิตผมก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร คงไม่ต้องให้ลุงมาเป็นห่วงหรอกครับ”

แกพยักหน้ายิ้มให้แล้วเอ่ยขึ้น

“ลุงไปล่ะ…แล้วเจอกันหลังน้ำลด”

มันจริงอย่างที่ เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน ได้ว่าไว้ น้ำเข้าท่วมทั้งเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายสิบปี ผมต้องย้ายรากตัวเองไปอยู่ศูนย์ผู้อพยพชั่วคราว ถึงแม้ตัวเองจะอยู่ตึกสูงแต่ก็ได้รับผลกระทบจากการเข้าออกไปทำงาน ความเดือดร้อนขยายตัวไปทั่วทุกหัวระแหง กลิ่นน้ำเน่าโชยมาพร้อมกับปัญหาสารพัน มันเปลี่ยนชีวิตคนเมืองให้สัญจรกันด้วยเรือ และทักทายกันด้วยคำพูดไม่กี่คำ ริ้วรอยความกังวลถึงสภาพบ้านเรือนตนเอง ปรากฏขึ้นเด่นชัดในทุกๆ ดวงหน้ากว่าร้อยชีวิต ที่นั่งจับเจ่าอยู่ในศูนย์ผู้ประสบภัยน้ำท่วม

ผมเองไม่สนใจอะไรนักกับที่ซุกหัวตัวเอง เพราะเป็นห้องเช่าในตึกสูง แต่เป็นห่วงภาพวาดและงานศิลป์ที่ตัวเองทำค้างไว้มากกว่า (เป็นงานอดิเรกที่ผมยกความสำคัญ ให้มากกว่างานประจำที่ทำอยู่เสียอีก) ความงดงามบนผืนผ้าใบจากปลายพู่กันและฝีแปรง นั่นต่างหากที่ทำให้ผมอยากจะกลับไปยังที่พัก และหลุดจากการแบ่งปันอากาศหายใจ ในโรงอาคารหลังใหญ่แห่งนี้

แต่อะไรก็ยังไม่ร้ายกาจเท่ากับการที่น้ำท่วม ได้พราก “ทิพย์” แฟนสาวของผมไป เธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไฟช็อต ขณะเข้าร่วมจิตอาสาลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย “แจง” เพื่อนของทิพย์เป็นคนนำข่าวร้ายนี้มาบอกกับผมด้วยตัวเธอเอง

ผมได้แต่คร่ำครวญและก่นด่าฟ้าชะตาสวรรค์

หลังจากน้ำลดชีวิตผมก็เปลี่ยนไป ทำงานน้อยลงและเริ่มหันมาดื่มเหล้า ขาดงานบ่อยขึ้น ผมไม่จับพู่กันอีกเลย งานศิลป์หลายชิ้นถูกปล่อยทิ้งไว้ ภาพวาดกองระเนระนาดทับถมกัน จนคล้ายจะเป็นขยะทางอารมณ์ ที่หมักหมมแรงบันดาลใจให้เน่าสลาย ผมจมตัวเองไว้กับความเศร้าและเหล้าหลายขวด ความเมาทำให้ผมลืมความเจ็บปวด ถึงแม้ตอนตื่นจะทรมานแบบเท่าทวี แต่ผมไม่ยี่หระ

จนกระทั่งช่วงดึกของวันหนึ่งที่ฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนัก ผมเมากลับมาจากข้างนอก และกำลังยืนอ้วกอยู่หน้าปากซอย ร่มของใครบางคนโค้งเข้ามาครอบร่างของผมไม่ให้เปียก และมือของเขาก็เข้ามาลูบหลังผมอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นทั้งปลอบและเป็นห่วง ผมหันไปมองจึงร้องออกมาเบาๆ

“ลุง!…เฟือง…เฟืองเขียว…เกี้ยว…อะไรซักอย่างนะ?”

“เกี้ยวบุหลัน”

“เออๆ นั่นแหละๆ … เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน…แหม! นี่ลุงทายเรื่องน้ำท่วมอย่างกับตาเห็น”

“ก็เคยเห็นมาก่อนจริงๆ แต่มันนานมาแล้ว”

“โอ๊ย! อยากจะขำให้ฟันหลุด พูดอย่างกับหลุดมาจากอนาคต”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“ปัดโธ่! ผมเมานะลุงแต่ไม่ได้บ้า…เก็บไปหลอกเด็กเถอะไป๊!”

“ถ้าคุณไม่เชื่อที่ลุงพูด แล้วทำไมถึงอยากจะเจอลุงล่ะ?”

ผมโบกไม้โบกมือไปมาสะเปะสะปะ

“แล้วลุงรู้ได้ยังไงว่าผมอยากเจอลุง…ที่สำคัญผมจะอยากเจอลุงไปทำไม”

“เพราะว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ สมัยที่ลุงยังใช้ชื่อว่า “สมเกียรติ” ยืนอ้วกอยู่ตรงนี้ แวบหนึ่งในความคิดลุงเองก็อยากเจอชายแก่ที่ชื่อ เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน เหมือนกันน่ะสิ”

ผมผลักอกแกเบาๆ แล้วโหวกเหวกกลางสายฝน

“นี่ลุงพูดบ้าอะไร?”

แกเหมือนจะไม่สนใจในท่าทีก้าวร้าวของผม พูดต่อไปอย่างนิ่มนวล

“คุณอยากเจอลุง เพราะคุณจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันลุงพูดอะไรเอาไว้”

“จำได้ซี! ลุงบอกว่าน้ำจะท่วม เอ๊อ! ข้อนี้ผมยอมรับว่าลุงแม่นจริง”

“เปล่า…ไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องที่ลุงเคยเตือนว่าคุณจะพบกับความสูญเสียบางอย่าง คุณอยากจะถามว่าทำไมลุงถึงรู้ว่าทิพย์จะตายใช่ไหม?”

สิ้นคำเฟืองเขียวผมก็เหมือนธนูที่หลุดออกจากแหล่ง ปัดร่มออกจากมือแก แล้วกระชากคอเสื้อแก โดยที่ไม่สนใจว่าแกเป็นชายชรา

“ลุงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทิพย์!…ผมไม่รู้ว่าลุงไปเอาชื่อนี้มาจากใคร แต่อย่าเอามันมาล้อเล่นกับผมแบบนี้!”

เฟืองเขียวยิ้มอ่อนโยน และไม่อินังขังขอบกับหยาดฝน ที่ฉ่ำพรำไปทั่วหน้าแก

“คุณกำลังเผชิญหน้ากับตัวคุณเอง คุณเจ็บอย่างไรในตอนนี้ ให้เข้าใจไว้ด้วยว่าลุงเองก็เคยเจ็บแบบเดียวกันมาก่อน และเชื่อเถอะเหล้ามันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย มันอาจทำคุณลืมโลกแต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อคุณลืมตาขึ้นมา ความเจ็บปวดทั้งกายและใจจะถาโถมเข้าหา จนคุณแทบอยากจะเอามีดกรีดข้อมือตัวเอง และนั่นจะทำให้คุณกลับไปหาเหล้า เพราะคิดว่ามันบรรเทาอาการเหล่านี้ไปได้ วงจรอุบาทว์แบบเดิมก็จะวนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด! คนเราต่างต้องพบเจอการสูญเสีย จะคนรักหรือญาติสนิทมิตรสหาย ล้วนมีอันต้องพลัดพรากจากเราไป แต่โลกใช่ว่าจะหยุดลงกับการตายของใครคนใดคนหนึ่ง วันนี้มีคนตายแต่วันถัดไปก็มีคนเกิด โลกมันยังหมุนชีวิตคุณหรือใครก็ยังต้องดำเนินต่อไป”

ผมคลายมือลงแล้วซบหน้าลงกับอกแก

“ผมอยากร้องไห้โว้ย! แต่ผมไม่อยากเห็นตัวเองอ่อนแอ ถ้าเหล้ามันจะช่วยให้ต่อมน้ำตาผมไม่ทำงาน…มันก็ควรจะเป็นเพื่อนผมได้ไม่ใช่เหรอ”

“มีใครบางคนเคยบอกไว้ว่า เพื่อนที่ดีที่สุดก็คือตัวเราเอง ตอนนี้ไม่ว่าคุณจะเชื่อที่ลุงพูดหรือไม่ แต่โอกาสที่คุณจะได้ร้องไห้และกอดกับตัวเองมาถึงแล้ว คุณจะไม่คว้ามันไว้หน่อยหรือ?”

และโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรต่ออีก ผมกอด เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน อย่างแนบแน่น ร้องไห้ออกมาท่ามกลางสายฝน สะอึกสะอื้นกับไปกับการสูญเสียที่ไม่เคยได้ระบายออกมาอย่างจริงจัง

ช่วงเวลาแห่งความเศร้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า ราวกับมันอาศัยหอยทากเป็นยานพาหนะ โลกทั้งใบที่ผมเคยแบกไว้บนบ่าหลังการตายของทิพย์ ก็ค่อยๆ ถูกวางลงด้วยความเข้าใจ ผมเข้าวัดบ่อยขึ้นและฝึกการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ผมยังคงทำงานประจำ และกลับมาจับงานศิลป์อย่างจริงจังอีกครั้ง ส่วน เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน (ชายชราที่อ้างตนว่าเป็นตัวผมเองในอนาคต) ก็ได้หายตัวไป และหายไปอย่างไร้ร่องรอยนานหลายเดือน ราวกับว่าไม่เคยมีแกเข้ามาในชีวิต จนกระทั่งผมมีโอกาสได้แสดงผลงานภาพวาดของตัวเอง ในงานนิทรรศการของกลุ่มจิตรกรที่ผมรู้จัก วันนั้นผมถึงได้เจอแกอีกครั้ง เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน

การปรากฏตัวของแกคราวนี้ ทำให้ผมสนเท่ห์อย่างถึงที่สุด เพราะถึงแม้แกจะยังคงสภาพผมยาวหัวฟูหนวดเครารกเช่นเดิม แต่เสื้อผ้าอาภรณ์แกกลับเปลี่ยนไป สูทสีขาวกับกางเกงผ้าไหมชั้นดีรวมไปถึงรองเท้าหนังขัดเงา ทำให้แกดูเหมือน “ศิลปินใหญ่” คนหนึ่งของวงการจิตรกรรม

“ว่ายังไงสมเกียรติ ชีวิตคุณดีขึ้นไหม?” แกยิ้มทักอย่างอ่อนโยน เมื่อเดินมาเจอผม

“ดีขึ้นแน่นอน หลังจากที่ผม “ค้นพบตัวเอง”…” ผมเล่นคำอย่างซ่อนนัย จากนั้นชี้ให้แกดูผลงานภาพวาดของผม ที่แขวนโชว์อยู่กับผนังในงาน

แกพยักหน้ายิ้ม แล้วเอามือลูบเคราไปมา

“ผมเห็นภาพนี้มาก่อนที่คุณจะวาดมันออกมาด้วยซ้ำ…เพราะผมก็เคยวาดภาพนี้มากับมือ”

ผมหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

“ผมไม่รู้ว่าจะทำใจให้เชื่อเรื่องนี้ยังไงดี ลุงคือผมที่มาจากอนาคต ลุงปลอมตัวเป็นคนเก็บขยะที่แฟลต เพื่อจะได้มาเจอกับผม? มันล้ำยุคและเหลือเชื่อจนผมคิดว่าตัวเองคงจะบ้า ถ้าจะยอมรับว่านี่คือเรื่องจริง”

แกหัวเราะออกมาบ้าง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยแววตาเป็นประกาย

“ชีวิตคนเราบางครั้งมันก็บ้าอยู่แล้ว…ลุงมาในวันนี้เพื่อที่จะบอกให้คุณรู้ว่า หลังจากงานนี้จบลงจะมีคนในแวดวงจิตรกรรมเห็นศักยภาพในตัวคุณ ใครบางคนที่รับงานจิตรกรรมฝาผนังในวัดชนบท จะมาชักชวนคุณให้เข้าร่วมกลุ่ม และนี่คือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้คุณก้าวเข้าสู่ชีวิตของจิตรกรอย่างแท้จริง จงอย่าปฏิเสธโอกาสที่เดินเข้ามาหาในครั้งนี้ และคุณควรจะใช้ชื่อ “เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน” ในการทำงานศิลปะได้แล้ว”

“ทำไมผมต้องใช้ชื่อ เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน ด้วยล่ะ?”

แกตบไหล่ผมเบาๆ แล้วหันหลังเดินจากไปพร้อมกับเอ่ยเสียงดัง

“เพราะคุณชอบชื่อนี้ และนี่คือชื่อของศิลปินใหญ่ในอนาคต!”

ผมไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ได้แต่ยืนยิ้มแล้วมองแกเดินออกไปจากอาคาร

เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน เป็นใคร? เขาอาจจะเป็นคนบ้าที่พอเข้าใจวิถีแห่งเซน หรืออาจเป็นคนที่มีจินตนาการฟุ้งเฟ้อชวนหลงใหล หรืออาจจะเป็นคนเก็บขยะที่เผอิญรู้ลึกเรื่องงานศิลป์ หรือเป็นเพียงตาแก่ที่มีเซ้นส์ทางการคาดเดาขั้นเทพ หรือคือตัวผมจากในอนาคตจริงๆ นั่นเป็นเรื่องที่เกินสามัญสำนึกจะคาดเดาได้ ผมรู้แต่เพียงว่าถ้าต่อไปผมมีโอกาส ได้ย้อนเวลากลับไปหาตัวผมเองได้จริง

ผมจะกลับไปสอนและแนะนำเขา เหมือนเช่นที่เคยโดนสอนมาก่อนหน้านี้ และผมจะไปพบกับตัวผมเองในฐานะ “เฟืองเขียว เกี้ยวบุหลัน”