มองกลยุทธ์ ‘พี่ใหญ่’ บนเกม ‘บิ๊กตู่’ วัดใจ ‘บิ๊กป๊อก’ ศึก 3 ป.-2 ป. แบ่งข้าง ลุ้นปรับ ครม. สะเทือน กห.-โผทหาร/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

มองกลยุทธ์ ‘พี่ใหญ่’

บนเกม ‘บิ๊กตู่’

วัดใจ ‘บิ๊กป๊อก’

ศึก 3 ป.-2 ป. แบ่งข้าง

ลุ้นปรับ ครม.

สะเทือน กห.-โผทหาร

 

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะบอกว่า ยังไม่ได้คิดเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี หลังเสร็จศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ตาม

แต่ท่าทีของพี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กลับแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการปรับ ครม.

ท่ามกลางกระแสข่าวจะมานั่งเก้าอี้ รมว.มหาดไทย แทนบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ได้คะแนนไว้วางใจแค่ 245 แต่มีคะแนนไม่ไว้วางใจสูงสุด 212 โดยมี 6 ส.ส.พปชร. สมุทรปราการ รวมอยู่ด้วย

“ไม่รู้ แล้วแต่นายกฯ” พล.อ.ประวิตรไม่ปฏิเสธเก้าอี้ มท.1 ซึ่งแตกต่างจากเดิม ที่จะปฏิเสธว่า ไม่จริง ไม่มี ไม่เปลี่ยน ทุกครั้งที่มีข่าวการปรับ ครม. และมีเสียงเชียร์จากในพรรคพลังประชารัฐ ให้เป็น มท.1 ถึงขั้นที่ พล.อ.ประวิตรเคยปฏิเสธว่าผมไม่มีทางแย่งน้องหรอก

ย้อนไปก่อนหน้าการอภิปราย ในการประชุม พปชร.ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ที่มีแรงเชียร์ให้ปรับ ครม. และให้นั่ง มท.1 พล.อ.ประวิตรก็ไม่ปฏิเสธ แถมบอกว่า เดี๋ยวจะลองคุยกับนายกฯ ดู

ไม่แค่นั้น พล.อ.ประวิตรยังไปให้ความหวังกับ ส.ส.สมุทรปราการ ว่า หากมีการปรับ ครม.จะต้องได้เป็นรัฐมนตรี

แต่ท่าทีนี้ของ พล.อ.ประวิตร ยิ่งทำให้ถูกโยงใยกับการที่ 6 ส.ส.กลุ่มปากน้ำ สวนมติพรรค โหวตไม่ไว้วางใจ พล.อ.อนุพงษ์ รวมถึงการลงพื้นที่สมุทรปราการ หลังเสร็จศึกอภิปราย

ที่น่าจับตาคือ พล.อ.ประวิตรไม่ได้ตำหนิการโหวตของ 6 ส.ส. หรือตั้งคณะกรรมการสอบสวนของพรรคเพื่อลงโทษ แต่กลับจะปูนบำเหน็จให้โควต้า รมต.

เหล่านี้เอง ที่ทำให้เกิดกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่พอใจกับท่าทีของ 6 ส.ส.สมุทรปราการ จนเป็นที่มาของกระแสข่าวที่พาดพิงอดีตบิ๊กตำรวจ คนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร ว่าอยู่เบื้องหลังการเดืนเกมนี้ เพื่อให้ พล.อ.ประวิตรเป็น มท.1

จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่อดีตบิ๊กตำรวจ คนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตรคนนี้ เคลื่อนไหวจนทำให้เช้าวันลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา จึงมีข่าวใบสั่ง และการล็อบบี้ให้โหวตล้ม พล.อ.อนุพงษ์ให้ได้ เพื่อหวังเปลี่ยนตัว มท.1 ในทันใด

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ล่วงรู้เกมนี้แล้ว จึงขอให้หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล และเสี่ยหนู นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ช่วยดูแลเสียงให้ พล.อ.อนุพงษ์ด้วย แต่ก็ช่วยได้แค่ผ่าน

ก่อนหน้านี้ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อกันยายน 2564 อดีตบิ๊กตำรวจคนนี้ก็เคยถูกพาดพิงว่าจับมือกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ในการโหวตล้ม พล.อ.ประยุทธ์มาแล้ว ถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์โทรศัพท์ไปตำหนิต่อว่า และอดีตบิ๊กตำรวจผู้นี้ก็มาฟ้อง พล.อ.ประวิตร จนเกิดการหมางใจกันระหว่างพี่น้อง 2 ป. และ ป.ที่ 4 และ ป.ที่ 5 มาแล้วครั้งหนึ่ง

ปัญหาความระหองระแหงระหว่างน้องรัก กับน้องในสายเลือด ยังคงมีอยู่มาตลอด จนในที่สุด พล.อ.ประวิตรก็ให้ ร.อ.ธรรมนัสแยกออกจากพลังประชารัฐไปตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย โดยมอบหมายให้อดีตบิ๊กตำรวจผู้นี้ไปช่วยอีกแรงหนึ่ง

จึงไม่แปลกที่ก่อนหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีการโฟกัสไปที่ ร.อ.ธรรมนัสว่าเดินเกมกับพรรคเล็กให้โหวตล้ม พล.อ.อนุพงษ์ แต่ในที่สุดตัว ร.อ.ธรรมนัสเองก็ออกมาปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกับแผนล้ม มท.1 และไม่ขอพูดถึง ว่า พล.อ.ประวิตรเหมาะที่จะเป็น รมว.มหาดไทย หรือไม่ เพราะไม่อยากให้ พล.อ.อนุพงษ์เคือง

แต่ในที่สุดก็มีการเชื่อมโยงเครือข่ายในการล้ม พล.อ.อนุพงษ์ด้วยตัวละครเดิมๆ แต่คราวนี้รุนแรงกว่าเดิม เพราะ พล.อ.ประวิตรถูกต้องสงสัยด้วยว่าเกี่ยวข้อง และรู้เห็นหรือไม่

นี่จึงทำให้เกิดรอยร้าวระหว่าง พล.อ.อนุพงษ์ กับ พล.อ.ประวิตร มากขึ้นๆ จากเดิมที่ พล.อ.อนุพงษ์เลือกข้าง พล.อ.ประยุทธ์

อีกทั้งที่ผ่านมา แม้ พล.อ.ประวิตรจะเอ่ยปากขอเรื่องของการประสานงานต่างๆ ของ ส.ส.ในพรรค พปชร.กับงานในพื้นที่ แต่ พล.อ.อนุพงษ์ก็ไม่ค่อยจะตอบสนอง

ด้วยเป็นที่รู้กันดีว่า สไตล์การทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ ตั้งแต่เป็น รมว.มหาดไทยในยุค คสช. จนปัจจุบัน เกือบ 8 ปีจะเป็นคนที่เข้าถึงยาก และประสานขออะไรก็ไม่ได้ จึงทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของ ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐมาทุกครั้งที่มีข่าวการจะปรับคณะรัฐมนตรี ว่า ต้องการเปลี่ยน รมว.มหาดไทย แล้วให้ พล.อ.ประวิตรนั่งแทน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เคยตอบสนอง

มาครั้งนี้ สถานการณ์เปลี่ยน เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐตกต่ำลง เช่นเดียวกับความนิยมของตัว พล.อ.ประยุทธ์ และสถานการณ์เรื่องเสียงเป็นรองพรรคเพื่อไทย และมีสัญญาณจากผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ และ ส.ก.มาแล้ว ผลโพลที่ส่อเค้าแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงอาจทำให้ พล.อ.ประวิตรคิดว่าถึงเวลาที่ตนเองต้องนั่งควบคุมกลไกระดับท้องถิ่นทั่วประเทศด้วยตนเอง เพื่อความได้เปรียบในการเลือกตั้ง หาก พล.อ.ประยุทธ์ต้องการจะไปต่อ

เสมือนว่า ช่วง 8 ปีที่ พล.อ.อนุพงษ์เป็น รมว.มหาดไทยอยู่นั้น ไม่สามารถทำให้พรรคพลังประชารัฐได้เปรียบในทางการเมือง และไม่ฟังสิ่งที่ พล.อ.ประวิตรแนะนำหรือต้องการ

จึงไม่แปลกที่ในการอภิปรายครั้งที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรไม่ได้กระตือรือร้นในการช่วยคุมเสียงให้ พล.อ.อนุพงษ์ เพราะนั่นหมายถึงต้องใช้กล้วยด้วย จึงให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์เดินเกมด้วยตนเอง แก้เกมเอง

ผลการโหวตอภิปรายครั้งนี้และความเคลื่อนไหวต่างๆ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้กระทบต่อความสัมพันธ์ของ พล.อ.ประวิตร กับ พล.อ.อนุพงษ์ ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่สู้ดีอยู่แล้ว

พี่น้อง 3 ป.อยู่ด้วยกันมานาน กว่าค่อนชีวิต รู้มือ รู้ใจ รู้แนวทางรู้เกมกัน ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงไม่ยอมให้ทุกอย่างเป็นไปตามเกมของพี่ใหญ่ ที่อาจหมายรวมถึงคนใกล้ชิดของ พล.อ.ประวิตร ที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่แฮปปี้

สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์หวาดหวั่น คือหากยอมให้ พล.อ.ประวิตรเป็น รมว.มหาดไทยแล้ว อดีตบิ๊กตำรวจคู่กรณีคนเดิม รวมถึง ร.อ.ธรรมนัส ก็อาจจะกลับมามีบทบาท และมีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง พล.อ.ประวิตร เพราะถึงอย่างไรก็ยังคงจะใช้งานทั้ง 2 คนนี้อยู่ในทางการเมือง และเคยเป็นความพยายามของ ร.อ.ธรรมนัสมาตลอดที่จะดัน พล.อ.ประวิตรเป็น รมว.มหาดไทย

เพราะหากปล่อยให้ พล.อ.ประวิตรเป็น รมว.มหาดไทย เป็นนายกฯ น้อย เป็นนายกฯ หมายเลข 2 คุมอำนาจทั่วประเทศอาจจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์คุมเกมไม่อยู่ คุมพี่ไม่อยู่ และกลายเป็นเครื่องมือของนักการเมือง

ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ก็รู้ใจ พล.อ.อนุพงษ์ พี่รองเป็นอย่างดีว่า ยังไม่ต้องการลุกไปไหน เพราะเป็น รมว.มหาดไทยมา 8 ปี คุ้นชินแล้ว และมีความเกรงใจพี่รองด้วย

แม้ว่า พล.อ.อนุพงษ์จะให้สัมภาษณ์ออกตัวว่า นายกรัฐมนตรีสามารถปรับ ครม.ได้เลยอย่างเต็มที่ ไม่ต้องห่วง ผมไม่มีปัญหา เพราะไม่ยึดติด อีกทั้ง พล.อ.ประวิตรก็เป็นทั้งเจ้านายเก่า และเป็นพี่เลี้ยงที่สอนผมมา ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดความแตกแยกใน 3 ป. เราอยู่ด้วยกันมา ค่อนชีวิต ราว 50 ปีแล้วก็ตาม

แต่ย้อนกลับไปช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเห็นได้ว่า พล.อ.อนุพงษ์ก็พยายามรักษาเก้าอี้ตัวเองด้วย การยอมที่จะไปพูดคุยกับ ส.ส.ในพรรค ยอมแจกเบอร์มือถือ ยอมบอกว่าจะปรับตัวปรับสไตล์การทำงาน จากการเปิดเผยของแกนนำพรรคขนาดเล็กที่ได้พูดคุยกับ พล.อ.อนุพงษ์นั่นเอง

แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์ย่อมต้องรู้ใจ พล.อ.อนุพงษ์ ที่เป็นรุ่นพี่ทหารเสือราชินีที่สนิทสนม และไว้วางใจมากที่สุด มากกว่า พล.อ. ประวิตรด้วยซ้ำ และที่มีสัญญาใจกันไว้ว่า มาด้วยกัน อยู่ด้วยกัน ไปด้วยกัน

แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมปรับคณะรัฐมนตรีจริงๆ ก็จะกลายเป็นอีกสัญญาณหนึ่งของความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร ที่จะร้าวลึกมากขึ้น

เพราะอย่าลืมว่า พล.อ.ประวิตรคือหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และเป็นพี่ใหญ่ที่ส่งสัญญาณต้องการปรับคณะรัฐมนตรี และต้องการนั่ง รมว.มหาดไทย ออกมาแล้ว

แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับไม่สนอง ย่อมกระทบต่ออำนาจและบารมีของพี่ใหญ่ในทางการเมืองอย่างแน่นอน

 

อีกสัญญาณหนึ่งที่จะเห็นได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจไม่ต้องการพึ่งพา พล.อ.ประวิตรไปมากกว่านี้ ก็คือการส่งสัญญาณให้กลับมาใช้สูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ มาใช้ หาร 500 และกำลังจะนำไปสู่การกลับไปใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ย้อนทุกอย่างให้กลับไปใช้กติกาเหมือนการเลือกตั้งปี 2562 เพื่อหวังสกัดพรรคเพื่อไทย แต่อาจลืมมองการเติบโตของพรรคก้าวไกล และจะได้ประโยชน์จากกติกาเดิม

ทั้งๆ ที่ พล.อ.ประวิตรเดินเกมจนสามารถแก้ไขธรรมนูญและให้เป็นบัตร 2 ใบแล้ว และชูธงให้ใช้หาร 100 มาตลอด แต่ที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ก็ส่งสัญญาณให้เปลี่ยนไปใช้หาร 500 และจะกลับไปสู่บัตรใบเดียวอีกครั้ง จนถูกมองว่าอาจมีการวัดพลังกันเกิดขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ในทางการเมืองแล้วกล่าวกันว่า หากต้องการจะปรับคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ปรับในช่วงนี้ เพราะจะถูกมองว่าเป็นผลจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงอาจจะทิ้งระยะไปสัก 1-2 เดือน และให้ผ่านการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และเรื่องวาระนายกฯ 8 ปีไปก่อน แม้ว่าจะเหลืออายุรัฐบาลแค่มีนาคม 2566 ก็ตาม

จึงทำให้เกิดกระแสข่าวว่า หากต้องปรับคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์อาจต้องสละเก้าอี้ รมว.กลาโหมให้ พล.อ.อนุพงษ์นั่งแทน แม้จะมีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่าอาจให้ พล.อ.อนุพงษ์ไปเป็น รมว.พลังงานก็ตาม

 

กระแสข่าวเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีส่งผลกระเทือนต่อกองทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นที่จับตามองว่า จะปรับเมื่อไหร่ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงการจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร เพราะหากเปลี่ยนมาเป็น พล.อ.อนุพงษ์ ก็อาจเกิดแรงกระเพื่อม เนื่องจากแม้จะเป็นอดีตทหาร เป็นอดีต ผบ.ทบ. แต่ก็ไม่ได้ดูงานกลาโหมมาตั้งแต่ต้น

ดังนั้น จึงคาดว่า หากจะปรับ ครม. จะปรับหลังกันยายน เพื่อ พล.อ.ประยุทธ์จัดโผทหารให้เสร็จก่อน เพราะมีการโยกย้ายสำคัญ ทั้งปลัดกลาโหม ผบ.ทร. ผบ.ทอ.คนใหม่ รวมทั้งจัดวางตัวในระดับ 5 เสือ ทบ. เพราะถึงอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ต้องจัดวางตัวทายาทที่จะดูแลกองทัพให้สำเร็จเสียก่อน โดยเฉพาะบรรดาน้องๆ ในสายทหารเสือราชินีคอแดง และบูรพาพยัคฆ์คอแดง ที่กำลังเติบโตขึ้นมาในระดับ 5 เสือ ทบ. แม่ทัพภาค และผู้บัญชาการกองพล

พร้อมๆ กันนั้น ก็มีกระแสข่าวจะมีการเปลี่ยน รมช.กลาโหม โดย พล.อ.ประวิตรสนับสนุนให้บิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา น้องรัก ที่กำลังจะไปเป็นหัวหน้าพรรคใหม่ เพื่อเป็นพรรคคู่ขนาน พันธมิตรกับพรรค พปชร. มาเป็น รมช.กลาโหมแทน เพื่อสร้างบารมีให้ พล.อ.วิชญ์ในการเดินหน้าพรรคการเมือง

แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังคงต้องการให้บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล เป็น รมช.กลาโหมต่อไป เพราะจะต้องมาช่วยงาน พล.อ.อนุพงษ์หากมาเป็น รมว.กลาโหม เพราะมีเวลาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น เนื่องจาก พล.อ.ชัยชาญดูแลงานกลาโหมให้นายกฯ มาโดยตลอด อาจให้ พล.อ.วิชญ์รอไปก่อน ไปลุ้นในรัฐบาลหน้า

แต่ก็มีกระแสข่าวว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ปรับ ครม.ในช่วงนี้ อาจเป็นเพราะต้องการรอให้ข้าราชการเกษียณราชการ มาเป็น รมต. หรือไม่ เพราะมีข้าราชการทหาร และพลเรือนที่จะเกษียณหลายคน

ที่ต้องจับตาคือ 30 กันยายนนี้ อดีต ผบ.เหล่าทัพที่เคยเป็น ส.ว. จะครบกำหนด เว้นวรรคทางการเมือง 2 ปี เมื่อพ้นจากการเป็น ส.ว. ทั้งบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ที่มีกระแสข่าวมาตลอดว่า จะลงสนามการเมือง แต่ก็น่าจะเป็นหลังการเลือกตั้งในปีหน้า เพราะ ครม.นี้เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน