ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 ตุลาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ในฐานะอดีตนักเรียนวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่จบมาอย่างกระท่อนกระแท่น
แต่ยังอุตส่าห์จำที่ครูบาอาจารย์แทบทุกท่านพยายามพร่ำสอนหลักการสำคัญเอาไว้ว่า
ในการดำเนินนโยบายระหว่างรัฐต่อรัฐนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ล้วนยึดเอาประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้งด้วยทั้งสิ้น
จะมาแบบหน้ายิ้มแต่ซ่อนมีดไว้ข้างหลัง
หรือจะมาแบบตึงตังชัดเจนว่าชาติข้า-คนของข้าต้องมาก่อน แบบ คุณโดนัลด์ ทรัมป์
ในเนื้อหาสุดท้ายก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน
เพราะฉะนั้น ขณะที่ฝ่ายไทยแถลงผลการพบปะพูดคุยของผู้นำทั้งสองประเทศเอาไว้สวยหรู
ประเภทนโยบาย America First สอดคล้องกับไทยแลนด์ 4.0 บ้าง
จะให้สิทธิประโยชน์นักลงทุนสหรัฐเท่านักธุรกิจหรือพ่อค้าไทยบ้าง
ไปจนกระทั่งสนับสนุนนโยบายเกี่ยวกับเกาหลีเหนือตามแนวทางสหประชาชาติบ้าง
คุณทรัมป์แกก็พูดตรงๆ ตามประสาพ่อค้าที่มาสวมบทนักการเมืองว่า
“ผมคิดว่า ถ้าเป็นไปได้ เราน่าจะพยายามขายของให้กับคุณมากขึ้นอีกสักหน่อย”
ซึ่งก็น่าให้แกพูดอย่างนั้น เพราะก่อนจะเข้าพบกัน สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐรายงานว่า เมื่อปีที่แล้วสหรัฐขาดดุลการค้าไทย 18,900 ล้านดอลลาร์
มากที่สุดเป็นอันดับ 11 ในบรรดาประเทศคู่ค้าทั้งหมดของสหรัฐ
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีประเด็นที่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูและอาหารสัตว์ของไทยทั่วประเทศ ลุกขึ้นมาส่งเสียงคัดค้านพร้อมๆ กัน
ไม่ให้นำเข้าหมูจากสหรัฐตามแรงกดดันของมหาอำนาจชาตินี้
มีการยกตัวอย่างกรณีเปิดตลาดเนื้อหมูและสินค้าเกษตรของเวียดนามและฟิลิปปินส์ ที่ต้องยอมอ่อนข้อให้สหรัฐ
ว่าสุดท้ายแล้วเกษตรกรรายเล็กรายน้อยของทั้งสองประเทศล้มหายตายจากกันไปมากขนาดไหน มาให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย
คำถามก็คือรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความยืดหยุ่น-มีประสิทธิภาพในการรับมือกับแรงกดดันที่มาจากทั้งนอกและในอย่างนี้มากน้อยขนาดไหน
วัดมือกันละครับ
ย้อนกลับมาค่อนโลกถึงบ้านเรา
ศุกร์ที่ 6 ตุลาคม ซึ่ง “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับนี้วางตลาด คือวันครบรอบ 41 ปีของเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
หนึ่งในการล้อมฆ่ากลางเมืองครั้งใหญ่ของสังคมไทย
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์กระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2553
แม้จะผ่านมา 41 ปี แต่ยังมีซอกหลืบและมุมมืดในประวัติศาสตร์ให้ขุดค้นและขุดคุ้ยอยู่อีกนับเรื่องไม่ถ้วน
นี่ขนาดผ่านไป 4 ทศวรรษแล้ว
ผู้ผ่านเหตุการณ์นั้น จากวัยรุ่นไฟแรงเปี่ยมพลัง ก็ล่วงเลยและร่วงโรยกลายเป็นผู้อาวุโสที่มากด้วยบาดแผลและประสบการณ์
บ้างก็ปลิดปลิวจากขั้วไปตามกฎของธรรมชาติ
ล่าสุดก็คือ “อาจารย์ยิ้ม” สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ผู้เรียกตัวเอง (และคนอื่นๆ ก็สมัครใจเรียกด้วยความเต็มใจ) ว่า “ราษฎรบัณฑิต”
เพราะทั้งชีวิตคือการคลุกอยู่กับชาวบ้าน ผู้ด้อยโอกาส คนถูกรังแก
ให้หมดทั้งแรงกาย แรงสมอง และหลายครั้งก็ถกข้อลงมือเอง
มีคนไปร่วมอาลัยอาจารย์แน่นขนัดลานวัด
หวังว่าการร่วมรำลึกถึงอาจารย์ จะทำให้อุดมการณ์ “นักวิชาการติดดิน” ฟื้นคืนกลับ
และงอกงามยั่งยืนต่อไปในสังคมไทย
ถ้าเหตุการณ์ 6 ตุลา ผ่านมา 4 ทศวรรษแล้ว ยังมีคนไม่ลืม ยังมีคนสนใจที่จะติดตามสืบค้นหาความจริงต่อไป
ก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้างละครับว่า เหตุการณ์สำคัญอื่นๆ ในสังคมไทย ที่ถูก “ทำให้ลืม” ไม่ว่าจะเป็นพฤษภาคม 2535 หรือเมษายน-พฤษภาคม 2553 จะไม่ถูกลืมไปจริงๆ
จะยังมีผู้ค้นคว้าตามหาความจริงให้ปรากฏให้ได้
เพราะมีแต่การเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงที่รอบด้านเท่านั้น ถึงจะทำให้สังคม “ก้าวผ่าน” บาดแผลนี้ไปได้
กระบวนการทำให้ลืมหรือกด-ซุกความจริงเอาไว้ มีแต่จะทำให้เกิดภาวะคับข้อง อัดอั้น
และไม่มีอะไรมาช่วยเตือนใจเพื่อป้องกันมิให้ปัญหาทำนองเดียวกันเกิดขึ้นมาใหม่
เว้นแต่ว่าสังคมไทยจะสนุกกับการลุกขึ้นมาฆ่ากัน
นั่นก็อีกเรื่อง