‘อยากไปต่อ’ เอฟเฟ็กต์ บทเรียนศรีลังกา

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยังต้องเผชิญวิบากกรรมใหญ่ทางการเมือง อย่างน้อยอีก 2 ด่าน

ด่านแรก คือศึกอภิปรายไม่วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้น

ด่านที่สอง คือปมประเด็นทางกฎหมายเรื่องการอยู่ในตำแหน่งเกิน 8 ปี

แต่กระนั้น ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมั่นใจว่าจะสามารถฝ่าด่านหินเหล่านั้นไปได้

และเตรียมการที่จะ “ไปต่อ” ทางการเมือง อย่างชัดเจนมากขึ้นทุกที

รูปธรรมหนึ่ง ที่ถูกกล่าวถึงกันมาก

นั่นก็คือ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาประกาศแผนขับเคลื่อนกลยุทธ์ “3 แกนหลัก”

แกนที่ 1 : โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ

โดยที่ผ่านมารัฐบาลพยายามดันโครงการสร้างทางรถไฟ ถนน สนามบิน และท่าเรือนานหลายปี ตอนนี้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชน สร้างรายได้ได้มากขึ้นด้วย

แกนที่ 2 : ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย

คืออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมต่อเนื่องเชื่อมต่อไปถึงธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจขนาดเล็ก

โดยจะเร่งเดินหน้าให้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

และเป็นศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ส่งเสริมราคารถยนต์ไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ให้มีราคาถูกลง สำหรับคนไทยทุกคน

แกนที่ 3 : การส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

ถึงเวลาแล้วต้องหันมาสนับสนุนส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของคนตัวเล็ก ธุรกิจรายย่อย โดยธนาคารจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับลูกค้าที่เป็นคนตัวเล็กๆ และทำมาค้าขายเลี้ยงตัวเอง ให้มากยิ่งขึ้น

นอกจากโชว์ 3 แกนหลักแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ยังแสดงความรู้สึกผ่านไปถึงประชาชนว่า

“ผมขอบคุณทุกท่านที่ใจเย็นกับผม ให้ผมได้เอาแผนโครงการที่ยิ่งใหญ่ ผลักดันมาสู่การปฏิบัติจริง ผมไม่ใช่คนที่แสดงออกหรือนำเสนออะไรได้เก่งนัก แต่ผมรู้ว่า ผมจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้เรื่องใหญ่ๆ เกิดขึ้นจริงได้”

“บางครั้งผมอาจจะพูดอะไรที่ฟังดูตลก แต่ขอให้ทุกท่านรู้ว่า ผมบริสุทธิ์ใจ และหัวใจของผมอยู่กับประชาชนทุกคน และอยู่กับประเทศไทย”

“ขอเชิญชวนทุกคน ให้มาร่วมมือกันด้วย ‘สปิริต-จิตวิญญาณ’ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงเกิดโควิด-19 ใหม่ๆ ผมเชื่อว่าเราทำได้ครับ และเราจะได้เห็นการผลิดอกออกผลในเวลาไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า ลงมือครับ เชื่อมไทยเดินหน้า”

การวาดความหวังไปยังอีก 2 ปีข้างหน้า คงตีความเป็นอื่นใดไม่ได้ นอกจากการขอโอกาสที่จะทำงานต่อไป

หรือการขอไปต่อนั่นเอง

ซึ่งถือเป็นคีย์เวิร์ดทางการเมืองที่สำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์

และดูเหมือนจะมีการเตรียมการมาอย่างดี

อย่างที่ รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก ให้สัมภาษณ์ “มติชน”

โดยตั้งข้อสังเกตว่า การที่นายกฯ อัดคลิปและถ่ายทอดโชว์ 3 แกนหลัก ผ่านทางโซเชียลมีเดีย

ถือเป็นการปรับกระบวนการสื่อสารครั้งใหญ่

ทั้งรูปแบบ ลีลา ท่าทาง บุคลิก การนำเสนอ ตัวเนื้อหาสาระ การเลือกใช้สื่อ คือเรียกว่ายกเครื่องใหม่ทั้งหมด

‘การเลือกใช้สื่อ’ ผ่านโซเชียลมีเดีย แทนที่จะใช้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ และถ่ายทอดผ่านสื่อกระแสหลัก ทำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึง และขยายกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

ส่วนการนำเสนอ มีคนเขียนสคริปต์ให้ จึงพูดได้ต่อเนื่องเป็นระบบ ร้อยเรียงกัน ไม่เปลี่ยนไปประเด็นนู้น ประเด็นนี้

ความผิดพลาดมีให้เห็นน้อยมาก

ถือว่าสื่อสารใช้ได้ บุคลิกจะนิ่ง มั่นคง ไม่วอกแวก ไม่เลิ่กลั่ก ไม่ฉุนเฉียว เสื้อผ้าหน้าผมเตรียมมาอย่างดี ดูมีมาดผู้นำ ไม่อ่อนโรย ไม่หงุดหงิด

ที่เด่นคือตัวคอนเทนต์ หรือเนื้อหาสาระ ต้องยอมรับว่าคนที่เขียนสคริปต์ให้ท่านน่าจะเป็นคนละคนกับสคริปต์เดิมๆ เรียบเรียงเรื่องดี มีจุดมุ่งหมายชัด

นี่ย่อมหมายถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้มีการยกเครื่องเรื่องการสื่อสาร เพื่อจะไปต่ออย่างไม่ต้องสงสัย

แต่จะบรรลุตามเป้าหมายหรือไม่ ยังเป็นคำถาม

คำถามอย่างที่นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich ว่า

“กลยุทธ์สามแกน สรุปว่า

– ขอเวลาอีกสองปี

– แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือ ท่านไม่ได้รู้เรื่อง ไม่ได้เข้าใจเรื่องที่ท่านพูดเลย (ใครเขียนให้วะ)

อนิจจาหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ”

ขณะที่ ดร.สันติ กีระนันทน์ อดีต ส.ส.พลังประชารัฐ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า

“นายกฯ ออกแถลงการณ์กลยุทธ์ 3 แกน อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

สำหรับผม เห็นว่าเป็นเรื่องตลก ไม่ใช่เนื้อหาตลกนะครับ เพราะเนื้อหานั้น รับรองได้ว่า ท่านไม่ได้เป็นคนคิด ไม่ได้เป็นคนยกร่างเองแน่นอน มีคนชงให้ทั้งนั้น

แต่ที่ตลกคือ ท่านไม่รู้เรื่องสิ่งที่ท่านแถลงเลยครับ

ปลอมมากครับ

ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อท่านอีกต่อไปแล้วครับ จำได้ไหมครับท่านเคยบอกว่า เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน ท่านทำตามสัญญาอะไรบ้าง เวลาอีกไม่นานนั้นหมายถึงเวลาเกือบ 8 ปีเหรอครับ…

ถ้าท่านใช้เวลาเกือบ 8 ปีนั้นอย่างรู้คุณค่า ใช้อย่างมีสติปัญญา ไม่ได้หลงอยู่ในอำนาจ รู้จักแยกแยะว่าใครดีใครชั่ว… ผมเชื่อว่า 8 ปีนั้นคงเป็นเวลาไม่นาน และเห็นผลงานมากมาย แบบที่ท่านไม่ต้องมีอารมณ์ฉุนเฉียวต่อว่าต่อขาน หรือด่ากราดคนที่แสดงความไม่เห็นด้วย อย่างที่ท่านทำบ่อยๆ หรอกครับ

ขออภัยจริงๆ ครับ ทั้งที่ผมเคยเป็นผู้ที่เชื่อถือท่าน เคยสนับสนุนท่าน แต่วันนี้ เวลาของท่านหมดลงแล้วจริงๆ ครับ”

ขณะที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย โดยนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการ ระบุว่า 8 ปีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นำประเทศเจอวิกฤต และเผชิญปัจจัยเสี่ยงอย่างปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูงทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ควานหาความสำเร็จแทบไม่เจอ แก้ทุกปัญหาด้วยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ตั้ง สมช.นำแพทย์แก้โควิด ตั้ง สมช.นำสภาพัฒน์แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบผิดฝาผิดตัว

แถมยังลุกออกจากมุมมาออกแถลงการณ์กลยุทธ์ 3 แกน ขอเวลาอีก 2 ปีจะทำคนไทยให้หายจน อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“3 แกนคืออะไร หากจะให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาอธิบายเองแบบไม่ต้องมีคนเขียนโพยให้ยังอาจทำลำบาก เพราะประชาชนดูออกว่า พล.อ.ประยุทธ์ขาดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจ ใช้โพยนำความคิด ใช้ความมั่นคงนำทุกสิ่ง ในอดีตเคยบอก เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน ยังใช้เวลาถึง 8 ปี 3 แกนแก้จนจึงดูปลอม ไม่ต่างจาก 3 ป.ที่โรยราเต็มที ไม่เหลือสภาพที่จะไปแก้ไขอะไรได้ เวลาของ 3 ป.หมดลงแล้วจริงๆ” นายอนุสรณ์ระบุ

การประสานเสียงในมุมมองที่ “ต่าง” ไปจากที่ พล.อ.ประยุทธ์พยายามเปลี่ยนและปรับปรุง “ลุค” ให้ดีขึ้นนั้น

สะท้อนว่า การจะไปต่อของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่น่าจะราบรื่นสักเท่าไหร่

ไม่เพียง 3 แกนหลักที่โชว์ออกมาเป็นแนวทางการบริหารจะถูกถล่มว่าไม่ใช่ตัวตนของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเพียงสคริปต์ที่ถูกเขียนให้เท่านั้น

ยังถูกโจมตีการขับเคลื่อนทางการเมืองที่แฝงด้วยแท็กติกที่จะสืบทอดอำนาจต่อไป

อย่างกรณี พล.อ.ประยุทธ์ส่งสัญญาณไปยัง ส.ส.และ ส.ว. ให้ใช้สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หาร 500

ถูกวิพากษ์จาก ส.ส.พรรคก้าวไกล อย่างนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ว่า เพื่อเอาใจพรรคเล็กให้ช่วยโหวตไว้วางใจ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนายกฯ ต้องดิ้นรนเฮือกสุดท้าย เพื่อให้อยู่รอด

ซึ่งแม้จะรอดจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ กระนั้นก็จะสวนทางกับคะแนนความนิยมที่ตกต่ำลง อันจะยิ่งสร้างความไม่พอใจ และเป็นการเร่งปฏิกิริยา และสร้างแรงโต้แรงต้าน จึงเชื่อว่า ประชาชนจะตอบแทนอย่างสาสมแน่นอน

สอดคล้องกับนายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) และรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ชี้ว่า ที่ พล.อ.ประยุทธ์ส่งสัญญาณให้แกนนำในขั้วพรรคร่วมรัฐบาล และกลุ่ม ส.ว. สนับสนุนใช้สูตรหาร 500 ในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อนั้น ก็เพื่อต้องการสืบทอดอำนาจต่อ

ส่วน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เตือนว่า ประชาชนคับแค้นในการบิดเบี้ยวของกฎหมาย และเชื่อประชาชนเขาจะสั่งสอนเอง

ซึ่งความรู้สึกคับแค้นของประชาชนนี้ คงไม่อาจมองข้าม ด้วยเมื่ออัดอั้นมากๆ ถึงเวลาก็จะระเบิดออกมา เหมือนดังตอนนี้ที่เกิดขึ้นกับคนศรีลังกา ตอนนี้ที่ต้องทนกับผู้นำที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน และยังดิ้นรนที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป แม้ว่าจะทำให้ชาติบ้านเมืองล่มสลายในทุกด้านอย่างไรก็ไม่สนใจ จนทำให้คนศรีลังกาสุดอั้นต้องลุกฮือขึ้นมาโค่นล้มอย่างที่เกิดขึ้น

การเมืองไทยแม้ขณะนี้จะยังไม่ไปถึงจุดดังกล่าว

แต่ความพยายามจะไปต่อของฝ่ายกุมอำนาจ ทั้งที่มีปัญหารุมเร้ามากมายก็เป็นสัญญาณไม่ดี และควรจะได้สรุปบทเรียน

ไม่ควรไปถึงจุดอย่างที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล แห่งคณะก้าวหน้าให้ความเห็นไว้

“…วันนี้คนศรีลังกาจำนวนมหาศาลได้ปรากฏกายเป็นประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในการก่อตั้งระบอบการเมือง

เลนินบอกว่า ปฏิวัติเกิดได้ต้องมีสถานการณ์ปฏิวัติ แต่ทุกสถานการณ์ปฏิวัติ อาจไม่นำมาซึ่งการปฏิวัติ

ที่ศรีลังกา สถานการณ์ปฏิวัติดำรงอยู่ และกำลังนำพาไปสู่ปฏิวัติ

เมื่อไรก็ตามที่ประชาชนจำนวนมหาศาลตระหนักถึงพลังของตนในการเปลี่ยนแปลง เมื่อนั้น ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดตัวจริงก็จะระเบิดพลังและปรากฏกายขึ้น…”

เราคงไม่อยากไปถึงจุดนั้น