สรุปข่าวในประเทศ

ในหลวงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนวันสุดท้ายสักการะพระบรมศพ “ร. 9” ถึง 5 ต.ค.

 

เมื่อวันที่ 26 กันยายน สำนักพระราชวังออกประกาศ เรื่องการเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ความว่า ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนได้เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2559 เป็นต้นมานั้น และเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2560 สำนักพระราชวังได้มีประกาศ เรื่อง การเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ขอเปิดให้ประชาชนได้เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพในวันที่ 30 กันยายน 2560 เป็นวันสุดท้าย เพื่อดำเนินการจัดการเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพให้เป็นไปด้วยความสมบูรณ์เรียบร้อย และสมพระเกียรติไปแล้วนั้น

บัดนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตระหนักถึงความอาลัยรัก ความศรัทธา และความจงรักภักดีของประชาชนทุกหมู่เหล่าที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้มุ่งมั่นที่จะเดินทางเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพสักครั้งหนึ่งในชีวิตของตนเองเพื่อความเป็นสิริมงคล ภายในห้วงระยะเวลาที่เหลืออยู่จากประกาศสำนักพระราชวังที่ได้กำหนดไว้ ก่อนที่จะถึงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เพื่อส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 26 ตุลาคม 2560

ด้วยทรงซาบซึ้งในน้ำใจ ทรงห่วงใยว่าประชาชนจะมีโอกาสกราบถวายบังคมพระบรมศพได้ไม่ทั่วถึง และเพื่อพระราชทานขวัญและกำลังใจแก่ประชาชน ในการนี้จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เลื่อนกำหนดวันสุดท้ายของการกราบถวายบังคมพระบรมศพ จากเดิมวันที่ 30 กันยายน 2560 ออกไปเป็นถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของคืนวันที่ 5 ตุลาคม 2560

“สุพจน์” อดีตปลัดคมนาคมจำคุก 10 เดือนแจงทรัพย์สินเป็นเท็จ

เมื่อวันที่ 26 กันยายน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาจำคุก 10 เดือน ไม่รอลงอาญา นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อายุ 64 ปี อดีตปลัดคมนาคมปี 2552-2554 ที่จงใจไม่ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน 5 ครั้งใน 2 รายการคือเงินสด 17,553,000 บาท และรถยนต์โฟล์กสวาเกน ราคา 3 ล้านบาท โดยคดีนี้ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกล่าวหานายสุพจน์จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม เพื่อให้พิพากษาลงโทษ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 หลังจากเมื่อปี 2555 ที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดข้อกล่าวหานายสุพจน์มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และข้อกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ สืบเนื่องจากการเกิดเหตุคนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ในซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 ซึ่งผู้ที่ร่วมทำผิดคดีอาญานั้นได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่าพบเงินสดในบ้านนายสุพจน์นับร้อยล้านบาท โดยนายสุพจน์ไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินบางส่วนได้ ป.ป.ช. จึงชี้มูลความผิดนายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีแพ่งเพื่อให้ริบทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังยื่นอุทธรณ์ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายได้ตามรัฐธรรมนูญใหม่ โดยนายสุพจน์ได้ยื่นขอประกันตัวโดยวางหลักทรัพย์ 3 ล้านบาท ศาลจึงได้อนุมัติ

อดีตเลขาฯ สภาเขียนความในใจมีคนขี้โกง-บิ๊กตู่สั่งตรวจสอบ

นายจเร พันธุ์เปรื่อง ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สร้างความฮือฮา เมื่อเขียนบทอำลาตำแหน่ง “สัจธรรมชีวิตราชการ” ในโอกาสที่จะเกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายนนี้ โดยระบุตอนหนึ่งว่ารัฐสภาเต็มไปด้วยคนขี้โกง คนซื่อสัตย์จะถูกกลั่นแกล้ง รวมถึงตนเองที่ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ได้รับฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ และได้ส่งเรื่องให้นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นำไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร

ด้านนายพรเพชรให้สัมภาษณ์ว่า การไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของนายจเร เป็นไปตามคำสั่งมาตรา 44 ของ คสช. ส่วนที่บอกว่ารัฐสภามีทั้งคนดีและไม่ดี ก็คงเป็นแบบนั้น ซึ่งคนดีมีมากกว่าคนไม่ดี และคนไม่ดีก็มีอยู่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเรื่องที่จะกล่าวหากัน เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นมรดกตกทอดกันมา อย่างไรก็ตาม อย่าให้ตนพูดเรื่องนี้เลย อย่าไปพูดกรณีแต่ละบุคคล ถ้าพูดกันกว้างๆ เช่น เรื่องนาฬิกาก็ยังไม่ยุติว่าเอาใครมาลงโทษได้บ้าง เรื่องขนดินตอนนี้เสียหายไปเท่าไหร่ ก็ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวนทั้งสิ้น ตอนนี้ผมเป็นห่วงเรื่องการกล่าวหาคดีทุจริตต่างๆ ที่ไม่คืบหน้า ผมก็ได้แต่เร่งรัด จะเอาอะไรกับผม ผมก็ตัวคนเดียว เห็นใจผมบ้าง” นายพรเพชรกล่าว

“อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร” โพสต์แจงถูกตัดต่อภาพเงา “ปู ยิ่งลักษณ์” ในแว่นตา

เมื่อวันที่ 25 กันยายน ในโลกออนไลน์มีการเผยแพร่ภาพเงาสะท้อนแว่นตากันแดดของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว ที่ถ่ายคู่กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเงาสะท้อนที่ปรากฏบนแว่นตาของ น.ส.แพทองธาร มีลักษณะคล้ายกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีในคดีโครงการรับจำนำข้าว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์หลบอยู่กับ น.ส.แพทองธาร และ พ.ต.ท.ทักษิณ

ต่อมา น.ส.แพทองธารได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Ing Shinawatra ระบุว่า “ว่างเบอร์ไหน…ถามใจเธอดูวววว รูปนี้ เพื่อนที่นั่งข้างหน้าถ่ายให้นะจ๊ะ ไม่เอาๆ ไม่ตัดต่อ ไม่เอาไม่มโน เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทำงานๆๆๆ เอามาให้ดูกันเลยค่า รูปจริงแว่นสะท้อนแต่ช่องแอร์” ต่อมาได้โพสต์ภาพอีก 1 ภาพ พร้อมระบุว่า

“รูปตัดต่อมีคนในแว่น ซึ่งไม่จริง!!!! อ่านหน่อยครับบบบบบบ ?? นี่รูปจริง บอกอีกสักครั้ง เพื่อนถ่าย! #เพลีย”