15 มิถุนายน ยื่นซักฟอก ฝ่ายค้านปิดทาง ‘ยุบสภา’ พุ่งเป้าใหญ่ ถล่มแกนนำรัฐบาล/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

15 มิถุนายน ยื่นซักฟอก

ฝ่ายค้านปิดทาง ‘ยุบสภา’

พุ่งเป้าใหญ่ ถล่มแกนนำรัฐบาล

 

นับแต่การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคฝ่ายค้านใช้โควต้าที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องตรวจสอบฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล แบบไม่มีสูญเปล่า ทั้งการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 และการอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติ ตามมาตรา 151

แม้จะสามารถขุดข้อมูลมาตีแผ่การทุจริต การเอื้อประโยชน์เพื่อพวกพ้อง การออกกฎหมายอุ้มกลุ่มทุนใหญ่ หรือการใช้งบประมาณอย่างไม่แยแสประชาชนที่ต้องเผชิญปัญหาปากท้อง เสี่ยงโรคภัย และยังเสี่ยงชีวิตเพราะรัฐบาลบริหารล้มเหลว

หลายข้อมูลเมื่อเปิดเผยออกมาก็เป็นที่แน่ชัดว่ามีการกระทำผิด และร้ายแรงมากพอจะกระทบต่อสถานะของรัฐบาล

แต่รัฐบาลกลับยังอยู่ยืนยงคงกระพันหนังเหนียวเหนือมนุษย์มนา เจ็บหนักสะบักสะบอม แต่ไม่ตาย

 

’15 มิถุนายน’ คือวันที่พรรคฝ่ายค้านเห็นร่วมกันว่าจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง จากนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่สามารถใช้อำนาจยุบสภา เพื่อหลีกหนีจากการโหวตที่ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือออกก้อยได้

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านหารือถึงเป้าหมาย และข้อกล่าวหารัฐมนตรี โดยจะสรุปผลการหารือได้ในวันที่ 8 มิถุนายน จากนั้นจะแถลงว่าจะอภิปรายใคร ด้วยข้อกล่าวหาอะไรบ้างในวันเดียวกัน และพร้อมยื่นญัตติในวันที่ 15 มิถุนายนแน่นอน

โดยจำนวนรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายมีอยู่ประมาณ 5-6 คน อาจจะบวกลบได้นิดหน่อย ประมาณ 1-2 คน

มีข้อกล่าวหาทั้งหมด 5 ข้อ อาทิ ความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน การทุจริตในการหาประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง ทำผิดกฎหมายขัดต่อจริยธรรม และนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภา ไม่ได้ทำหรือทำแล้วล้มเหลว

“ส่วนเรื่องเสียงสนับสนุนเราไม่ได้คาดหวังมือในสภา เพราะเป็นช่วงปลายเทอมแล้ว เราไม่คิดว่าจะต้องพึ่งพาใคร แต่ประชาชนจะเห็นด้วยและเชื่อมั่นในข้อมูลของฝ่ายค้าน”

การสรุปจบเรื่องการวัดเสียงโหวตของนายสุทินนั้น เป็นการยอมรับว่า เสียงลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีแต่ละคน โดยเฉพาะเสียงของ พล.อ.ประยุทธ์ มีไม่เพียงพอจะล้มรัฐบาลได้ แต่สัมผัสได้ว่า ‘นี่ไม่ใช่การยอมจำนน หรือยอมแพ้’ เพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า เสียงรัฐบาลยังมากกว่าฝ่ายค้าน แม้จะมีเสียงสะวิงจากพรรคเล็ก และพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ว่าที่หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.) ที่โวเสมอว่ามีเสียงประมาณ 40 เสียงอยู่ในมือ สามารถชี้นำและบงการได้

แต่การซักฟอกครั้งนี้มีความแตกต่างตรงที่เป็นครั้งสุดท้ายของสภาชุดนี้ และเป็นปีสุดท้ายของการบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนที่จะครบเทอมในเดือนมีนาคม 2566 กรณีไม่สะดุดล้มกลางทางจากสนามการเมือง

 

กระแสชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ 5-6 คน ตามที่ประธานวิปฝ่ายค้านระบุไว้นั้น เอาเข้าจริงก็แทบจะเดาชื่อได้เหมือนกัน เพราะช่วงหลังๆ มานี้มีความผิดปรากฏชัด ประชาชนก็เดาได้ว่ารัฐมนตรีคนไหนทำเรื่องอะไรไว้บ้าง

แต่ที่โดนแน่ๆ เลยคือ กลุ่ม 3 ป. ที่ผูกขาดอำนาจไว้กับตัวเอง จนประชาชนเอือมระอา

อย่างไรก็ตาม เมื่อจับสังเกตการหารือของพรรคฝ่ายค้าน ที่กำลังรวมญัตติของแต่ละพรรคเพื่อเขียนญัตติรวม พบว่า บางพรรคยังมีความระแวง กลัวว่าข้อสอบจะรั่วเหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา

จึงคาดว่า จะไม่ได้ข้อสรุปญัตติในวันที่ 8 มิถุนายนตามที่ประธานวิปฝ่ายค้านบอก

แต่จะไปสะเด็ดน้ำจริงๆ แบบกระชั้นชิดในวันที่ 15 มิถุนายน

สัญญาณการหวงญัตติซักฟอกของพรรคฝ่ายค้าน สะท้อนว่า การต่อสู้ในศึกนี้ จะต้องมีความเข้มข้น และใส่เต็มอย่างไม่มีปรานี เพราะไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะหลุดเก้าอี้จากการถูกโหวตคว่ำ ประกาศยุบสภา หรืออยู่หล่อๆ แบบครบเทอม ในอนาคตอันใกล้จะต้องมีการเลือกตั้งใหญ่ ที่เสียงของประชาชนจะกลับมามีอำนาจในการกำหนดผู้นำประเทศ และรัฐบาลด้วยตัวเองอีกครั้ง

 

หลายพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านจึงต่างเตรียมเฟ้นหาตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. และลงพื้นที่จับจองหัวใจของประชาชน ผ่านการชูนโยบายที่เป็นประโยชน์ และวาดความหวังให้เห็นว่าหากเลือกพรรคตัวเองแล้ว จะเข้าไปบริหารประเทศเพื่อสะสางวิกฤต และทำให้ประชาชนได้กลับมาอยู่ดีกินดีได้อย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่จะชูหาเสียง มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนมาก

บางพรรคก็มีความชัดเจน เช่น พรรค ก.ก. ชูพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ชูอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ชูสมคิด จาตุศรีพิทักษ์

แต่พรรค พปชร. ยังกั๊กๆ ยึกๆ ยักๆ พูดไม่เต็มปาก ว่าจะชู พล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่

เพราะข่าวลือ ข่าวลวง ยังรั่วไหลไม่หยุด แว่วว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อยากเป็นนายกฯ เอง หมายความว่า ชื่อ พล.อ.ประวิตรจะต้องอยู่ในลิสต์ของพรรค พปชร. เพราะ พล.อ.ประวิตรคือหัวหน้าพรรค

แต่ก็ยังงงๆ ว่า จะเรียงลำดับแคนดิเดต 2 ป. อย่างไร ใครมาก่อน ใครมาหลัง

ล่าสุด ข่าวปล่อยก็มาเพิ่มอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าไปเทกโอเวอร์ นั่งหัวหน้าพรรค พปชร. และให้ พล.อ.ประวิตรขยับเก้าอี้ไปเป็นที่ปรึกษาพรรค

โดยตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า แรมโบ้อีสาน และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ออกมาตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นเบาะกัน พล.อ.ประยุทธ์เจ็บตัว ก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง กลับเข้าสมาชิกพรรค พปชร.อีกครั้ง

เดาว่าเป็นไปเพื่อเข้ามาเป็นฐานและเป็นเพื่อน ไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ขาลอยจนเกินไป

 

การเมืองไทยตอนนี้ จะไม่พูดถึงรัศมีผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ อย่างนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก็คงไม่ได้ เพิ่งเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการได้ไม่กี่วัน ก็เริ่มทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไลฟ์สดทะลวงตรงจุดเกิดเหตุ ปัญหาไหนกำลังจะเกิดใน กทม. ก็ให้รอเลยว่า ชัชชาติต้องไปถึงที่แน่นอน ด้วยความเป็นผู้นำที่ติดดิน และยังอยู่ในช่วงฮันนีมูนของการเป็นผู้ว่าฯ กทม. ที่ได้คะแนนท่วมท้น จึงไม่ต้องกลัวจะมีม็อบถือป้ายต่อต้าน ไม่ต้องไปไหนมาไหนด้วยขบวนรถ และการ์ดเป็นโขยงเพื่อรักษาความปลอดภัยชีวิต การทำงานจึงคล่องตัว และได้ใจประชาชน ซึ่งไม่ใช่แค่ใน กทม.เท่านั้น แต่ยังแผ่ขยายไปยังต่างจังหวัดทั่วประเทศด้วย และสนามการเลือกตั้ง กทม. ไม่ได้เป็นเป็นแค่การเลือกตั้งของจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งของประเทศ แบบที่คนบางคนบอก

การขยับตัวของชัชชาติ ได้ครองพื้นที่สื่อไปโดยไม่ต้องซื้อโฆษณา หรือจ้างสื่อไปทำข่าว พายเรือ เต้น เดินขบวน หรือแม้กระทั่งกินข้าว ก็ยังเป็นข่าว ข่าวในเชิงบวกเสียด้วย ไกลกว่านั้น เมื่อมีคนบางส่วนหวังจะให้เป็นมากกว่าผู้ว่าฯ กทม. คือให้เป็นนายกฯ ไปเสียเลย เพราะชัชชาติครบเครื่องทั้งเรื่องภาพลักษณ์ ความรู้ความสามารถ และ ‘ความไว้วางใจ’ ที่ประชาชนมอบให้ ซึ่งข้อสุดท้ายเป็นความรู้สึกที่ไม่ใช่ผู้นำคนไหนจะได้รับง่ายๆ

เพราะเป็นความยินยอมพร้อมใจจากภายใน ใช้ปืนจี้บังคับข่มขู่เพื่อให้ได้มาก็ทำไม่ได้

ด้วยความนิยมชมชอบที่ประชาชนมอบให้ชัชชาติ พ่วงด้วยเงาของฝ่ายประชาธิปไตย ได้ส่งผลดีต่อพรรค พท. และพรรค ก.ก. เป็นอย่างมาก ตรงข้ามกับ พล.อ.ประยุทธ์ และองคาพยพร่วมรัฐบาล ที่กำลังขาลงแบบเข็นไม่ขึ้น

จากปัจจัยใจและตัวแปรทางการเมือง ผนวกรวมกับคำยืนยันจาก พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะอยู่ครบเทอม จึงเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์จะทำทุกวิถีทางเพื่อยึดครองเก้าอี้นายกฯ ต่อ

เพราะหากลุกออกเมื่อไหร่ จะต้องถูกขุดคุ้ยสาวไส้ จนเกิดคดีความตามมาแน่นอน

ดังนั้น ยื้อให้สุด เพื่อตัวเองและพวกพ้อง คนจะเกลียดก็เกลียดไป ขอเอาตัวเองให้รอดเท่านั้นพอ