เกมการเมืองในสายตา ‘ชูวิทย์’ อุ๊งอิ๊งอาจเป็นตัวหลอก พปชร.อาจจับมือเพื่อไทย จับตาให้ดีท่าทีธรรมนัส/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

เกมการเมืองในสายตา ‘ชูวิทย์’

อุ๊งอิ๊งอาจเป็นตัวหลอก

พปชร.อาจจับมือเพื่อไทย

จับตาให้ดีท่าทีธรรมนัส

 

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ประเมินว่าการเมืองในช่วงนี้ที่ต้องจับตามอง มีทั้งการอภิปรายงบประมาณ ต่อด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไปจนถึงการพิจารณาวาระการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในต้นเดือนสิงหาคม

โดยชูวิทย์บอกว่า ถ้าถามในใจของผม “ลึกๆ ผมว่าผ่านหมด อะไรที่เตรียมตัวมาก่อนผ่านหมด”

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างคราวก่อนเพราะไม่ได้เตรียมตัว เลยเห็นภาพ “หิ้วกระเป๋า” กันแทบตายหลายใบ เอกสารเยอะมาก! เข้าสภาหลายสิบกระเป๋า อย่างนี้เรียกไม่ได้เตรียมตัว

แต่นี่มีเวลาเตรียมตัวแล้ว มีวิธีการคุมองคาพยพนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ก็รอไปจนถึงเลือกตั้งใหญ่

ถามว่า “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ลึกๆ หวังเป็นนายกฯ ขัดตาทัพบ้างหรือไม่? ชูวิทย์มองว่า สมมุติไปนั่งอยู่ในใจท่านนายกฯ ถ้าผมต้องลง ถ้าผมมีอุบัติเหตุจะลงยังไง ผมว่าท่านก็ต้องมีคิดไว้บ้างแหละ แล้วจะให้ใครนั่ง แน่นอนที่สุดก็ต้องให้บิ๊กป้อมนั่งดีกว่าให้คนฝ่ายตรงข้ามขึ้นมา จะให้พวกคอยทิ่มแทงขึ้นมาไม่ได้ ก็ต้องให้พวกที่ไว้ใจ

เพราะฉะนั้นบิ๊กป้อมก็ต้องมีโอกาส เจ้าตัวอาจจะบอกว่ายังไงก็ได้ แก่แล้ว แค่เป็นนายกฯ สำรอง ชั่วครั้งชั่วคราว ก็โอเค คนเรามีโอกาสก็เอาทั้งนั้น กว่าจะได้ขึ้นมาครั้งหนึ่งในชีวิตจะชั่วคราวจะคั่นเวลาได้หมดทั้งนั้น

ถ้ามีอุบัติเหตุเขาก็ขึ้นไม่มีปัญหาครับ

อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย อ่านเกมในฟากเพื่อไทยว่าการที่จะให้อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกฯ เลยในทันทีนั้นอาจเร็วเกินไปและความอาวุโสยังน้อยเกินไป วุฒิภาวะ-วัยวุฒิยังน้อยเกินไป ซึ่งในทางการเมืองการเร็วเกินไปไม่ใช่เรื่องดี เพราะถ้ายิ่งเร็วจะยิ่งพลาด

ประการต่อมา คุณทักษิณ ชินวัตร คงวางแผนไว้เป็นตัวหลอกเพื่อจะเอาคะแนน แต่ท้ายที่สุดแล้วผมว่าไปได้อย่างเก่งที่สุดคือรัฐมนตรีหรือรองนายกฯ โดยที่เขาจะต้องมีใครที่เตรียมไว้ในใจที่จะขึ้นนายกฯ แทน

นั่นหมายความว่าลึกๆ คงมีการคุยกันแล้วคร่าวๆ เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเกิดพรรคเพื่อไทยชนะอันดับหนึ่งแล้ว ส.ว.ไม่เอาด้วย ก็ยังไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้ฝ่ายการเมืองจะอ้างว่าเป็น “มติมหาชน” ผมคิดว่า ส.ว.ก็ไม่รับฟัง เขาก็ต้องฟังคนที่แต่งตั้งพวกเขาเข้ามา ผมว่าจุดนี้ยังเป็นประเด็นอยู่

การลงชิงของอุ๊งอิ๊งคราวนี้ชูวิทย์เห็นว่าเป็นไปเพื่อเป็นการเรียกคะแนน เป็นยุทธศาสตร์ขายความเป็นคนรุ่นใหม่ เป็นตัวแทนประชาธิปไตย

แต่ถ้าขึ้นเป็นนายกฯ ในทันทีผมว่ายัง อาจจะมาใช้เป็นการต่อรองว่านายกรัฐมนตรีต้องเป็นของฝั่งนี้เพื่อให้ร่วมรัฐบาลไม่เช่นนั้นจะโดนปฏิวัติอีก

ผมคิดว่าเป็นการประนีประนอมเพราะว่าคุณทักษิณเองก็เรียนรู้แล้วว่าเค้กก้อนนี้ต้องแบ่งกันกิน มีเค้กนี้แล้วไม่แบ่งใคร คุณทักษิณได้รับทราบแมสเสจดีแล้วว่าทำไม่ได้

ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการ “แบ่งเค้กกันกิน” โดยไปทำการบ้านให้ดีที่สุดคือการเลือกตั้ง ส.ส.ให้ได้คะแนนมากที่สุด นำเสนอชุดนโยบายที่จะกลับมาเป็นรัฐบาล รวมทั้งการจะผลักประชาธิปัตย์ให้ไปเป็นฝ่ายค้าน หรือจะจับมือกับอนุทิน ชาญวีรกูล ก็เป็นไปได้ มันอยู่ที่สูตร

ท้ายที่สุดแล้วต้องมีการคุยกันว่านายกฯ จะต้องเป็นใครซึ่งอาจจะเป็น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ได้ อนุทินก็ดูแล้วประนีประนอมมากกว่าคุยง่ายกว่าไม่ใช่สายตรงเท่าไหร่

แต่การชูคุณอุ๊งอิ๊งนั่นหมายความว่าจะวนไปเหมือนเดิมเลย เหมือนตอนที่ “อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นสายตรง และถ้าภาพยังไม่ได้เชี่ยวชาญมากเท่าไหร่ ก็จะโดนจับผิด แล้วอาจจะพลาด จากนั้นก็ถูกเอามาโจมตี

เรื่องนี้มีบทเรียนในอดีตให้เห็นอยู่แล้วว่า เดี๋ยวก็โดนอีก 8 ปีหรอก

ดังนั้น ภาพของ “ผู้นำคนต่อไป” ชูวิทย์เห็นว่า ต้องมีวุฒิภาวะ ให้คนในสังคมยอมรับ ผมคิดว่าสังคมไทยเรียนรู้แล้วว่าถึงจุดไหนต้องยอมรับ และต้อง “ประนีประนอม” สะท้อนจากการที่ประชาชนเลือกคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เข้ามาก็ส่งสัญญาณแล้วว่าเป็นการประนีประนอม ประเทศชาติผ่านอะไรมาเยอะแล้ว เลยต้องการภาพแบบนี้ ไม่อย่างงั้นคนคงต้องแห่ไปเลือกคุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร เมื่อเจอคนที่ภาพลักษณ์ประนีประนอมอย่างชัชชาติจึงเป็นจุดสำคัญของสังคม

ดังนั้น การเลือกคุณอุ๊งอิ๋งหมายความว่ามาเพื่อ “การชน” เพราะเป็นสายตรงคุณทักษิณเลย ไม่ใช่ประนีประนอม พอเดี๋ยวไปแต่งตั้งคนนู้นคนนี้มาก็มีเรื่องอีก คนก็คอยกล่าวหาเรื่องทุจริตเชิงนโยบาย

เพราะฉะนั้นวิธีการที่จะประนีประนอมกับสังคมไทยและสังคมโดยรวมและกองทัพก็ดี หรือจะฝ่ายอนุรักษนิยมก็ดี ต้องหาคนที่กลางๆ ซึ่งอาจจะเป็นในบรรดานักการเมืองเอง จากพรรคใดพรรคหนึ่งหรือใครก็ได้ที่อยู่ในรายชื่อบัญชีนายกฯ ไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคอันดับหนึ่ง อาจจะเป็นคนอื่นได้

ผมเองเพิ่งมีโอกาสคุยกับคุณทักษิณสัก 3 อาทิตย์ก่อน มีคนในยกหูให้ผมคุย เขาก็พูดอยู่คำเดียวว่า “ชูวิทย์แลนด์สไลด์ แลนด์สไลด์” เขาท่องเป็นอยู่คำเดียว ก็ยืนยันอีกทีว่าในมุมมองของผม ผมก็ยังเชื่อว่าคุณอุ๊งอิ๊งเป็นตัวหลอก

ซึ่งหากมองให้ดีคำว่า “แลนด์สไลด์” อาจจะเอาไว้ใช้เป็นคำขู่ซึ่งแน่นอนว่าก็ขู่ได้ผล อย่างไรก็ดี ลึกๆ ผมเชื่อว่าในครั้งหน้าเป็นไปได้ว่าพรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐอาจจะจับมือกัน

อาจจะมีคนแย้งว่า พปชร.จบไปแล้ว โอเคจบจริง แต่กองทัพไม่เคยจบ คิดว่าที่เขาครองอำนาจมา 8 ปี องคาพยพไม่ได้ขยับเขยื้อนมา 8 ปี คิดหรือว่าคุณจะอยู่ได้

ผมไม่คิดว่าเพื่อไทยจะได้เกิน 250 เสียง เพราะยังกลุ่มก๊วนต่างๆ บ้านเล็กบ้านใหญ่เต็มไปหมดที่กระจายตัวอยู่

 

ส่วนการมองอนาคตของ “พล.อ.ประยุทธ์” ชูวิทย์ระบุว่า หากเราจะอ่านใคร เราต้องดูประวัติศาสตร์ของเขาก่อน เขาเป็นทหาร เคยเป็น ผบ. ทบ. อยู่ในตำแหน่งนายกฯ ที่เคยมีอำนาจอยู่ในมือ มี ม.44 ผ่านยุคสมัยมา 8 ปีไม่มีทางที่จะยอมใครง่ายๆ ต่อให้สุดทางให้ตายแล้วจริงๆ ก็ยังไม่ยอม ยิ่งไปเล่นเขา เขายิ่งไม่ยอม

ดังนั้น เราต้องมองกันดีๆ มองให้ลึกซึ้ง อย่างในสามก๊กโจโฉเก่งสุดเพราะการมองคน การเรียนรู้จากคนก็ต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ก็จะได้เห็นว่าทหารมักจะมีบุคลิกนิสัยแบบนี้ ทั้งสมัยสุจินดา คราประยูร หรือใครต่อใคร สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จนมาถึงยุค พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าเขาจะอยู่ต่อ จริงๆ เขาก็ควรจะไปให้สุด เช่น ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐไปเลย เพราะเราดูจากคุณสกลธี ภัททิยกุล ที่ก็เห็นอยู่ว่าเขามีคะแนนจำนวนมาก แสดงว่ายังมีคนที่อยู่กับฝั่งอนุรักษนิยมจำนวนมาก

วันนี้พวกคุณต้องหยุดเล่นการเมืองแบบหลอกชาวบ้าน น่าจะเปิดหน้ากันตรงๆ ไปเลย

ไม่ใช่เหมือนที่ผ่านมาที่คุณประยุทธ์บอกว่าพลังประชารัฐมาเทียบเชิญผม แต่พอไม่นานมานี้ก็มีความพยายามให้คนไปคุยกับ “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา คุยดีลกับทางพรรคเศรษฐกิจไทย จนกลายเป็นลิเกการเมือง ซึ่งหากอยากจะให้คนเลือกกันก็ให้ขาดไปเลย

แล้วนับตั้งแต่ภายหลังจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ถ้าสังเกตให้ดี การเมืองไทยมีอะไรเปลี่ยนไปในทันที นั่นคือ “คุณธรรมนัส พรหมเผ่า” เปลี่ยนหัวหน้าพรรคทันทีนี่คือ “การเมือง”

จริงๆ ธรรมนัสก็คือหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทยตัวจริงอยู่แล้ว ในความเป็นจริง ถ้าคุณธรรมนัสแสดงภาพลักษณ์ให้ชัดเจนว่าจะอยู่ตรงข้ามประยุทธ์ ก็ต้องเอาให้ชัดเจน ให้ถอดบทเรียนจากปรากฏการณ์ชัชชาติเป็นตัวอย่าง คือต้องแสดงท่าทีตรงข้าม พล.อ.ประยุทธ์ โดยการชนไปเลย ยังไงก็ได้คะแนน แต่ถ้าหาคนกลางๆ ก้ำๆ กึ่งๆ เจรจากับ “บิ๊กตู่” อย่างนี้คะแนนไม่มี

เพราะฉะนั้นถ้าดีที่สุดอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้น ธรรมนัสต้องขึ้นอภิปรายบิ๊กตู่ด้วยตัวเอง เพื่อให้ได้ใจคน ด้วยการชนไปเลย อย่าไปเล่นการเมือง ทำทั้งทีต้องหัวหมู่ทะลวงฟันไปเลยว่าประยุทธ์ทำงานโควิด-เศรษฐกิจตกต่ำบริหารผิดพลาดอย่างไร ชนไปเลย แล้วพวกพรรคเล็กไม่ต้องห่วงนี่คือไฟต์สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะหาร 100 หาร 500 ก็ไม่ได้

ซึ่งถ้าธรรมนัสวางแผนดีๆ มีที่ปรึกษาดีๆ ก็มีโอกาส แต่วันนี้ต้องถามว่าใครให้คำปรึกษาเขา? บิ๊กป้อมคงไม่ใช่เพราะที่บ้านคงมีคนเต็มไปหมด เขาเหมือนพระอันดับมากกว่า

ถามว่าธรรมนัสไปสิงคโปร์ไปหาใคร คุณก็น่าจะรู้คำตอบ

ชมคลิป