เจาะลึกสาเหตุ ‘ช้างศึก’ ไปไม่ถึงฝั่งฝันทองซีเกมส์ / เขย่าสนาม : เด็กเก็บบอล

เขย่าสนาม

เด็กเก็บบอล

[email protected]

 

เจาะลึกสาเหตุ ‘ช้างศึก’

ไปไม่ถึงฝั่งฝันทองซีเกมส์

 

เรียกได้ว่าฝนตกมีดิ่ง สเตเดี้ยมเมื่อวันก่อน ไม่ได้ต่างอะไรจากน้ำตาที่อาบแก้มของบรรดาแข้ง “ช้างศึก” ทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ ที่พวกเขาพลาดท่าพ่ายในนัดชิงชนะเลิศให้กับเจ้าภาพและคู่ปรับตลอดกาลอย่าง “ดาวทอง” เวียดนาม

ซึ่งการพ่ายแพ้ครั้งนี้ นับเป็นการพ่ายแพ้ต่อเวียดนามในเวที ซีเกมส์ เป็นครั้งแรกในรอบ 55 ปี จากที่แพ้ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1967 และก็ยังเป็นการรักษาสถิติที่ถ้าเปิดสนามแล้วแพ้ ทีมชาติไทยยังไม่เคยกลับมาได้แชมป์เลยเช่นกัน

แต่ก็ต้องบอกว่าน่าเสียดายเพราะว่าฟอร์มการเล่นของทีมช้างศึกค่อยๆ ไต่ระดับความพีกขึ้นมาเรื่อยๆ แม้ว่าจะออกสตาร์ตไม่ดีในการแพ้ให้กับ มาเลเซีย แต่เกมนัดนั้นก็เหลือ 10 คน แถมนัดอื่นๆ ทีมชาติไทยก็เป็นฝ่ายไล่ยิงคู่แข่งตลอด

 

ส่วนหนึ่งต้องยอมรับเลยว่าทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ครั้งนี้ มีปัญหาในการเตรียมทีมอย่างมาก แทบไม่ได้เรียกรวมตัวฝึกซ้อมกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แถมจุดสำคัญที่สุดคือจากเดิมที่ให้ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ เป็นคนคุมทีมชุดนี้ ก็มีการเปลี่ยนแม่ทัพกลางศึกด้วยการให้ มาโน่ โพลกิ้ง เข้ามาคุมทีมแทน ในแบบที่แทบจะไม่รู้จักนักเตะชุดนี้ แถมยังไม่ได้เลือก 50 คนแรกมาด้วยตัวเองอีกด้วย

ซึ่งปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของทีมชุดนี้ คือระยะเวลาการเตรียมทีมด้วยความที่ฟุตบอลไทยลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา เจอกับปัญหาการแพร่ระบาดของ โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ในช่วงเดือนมกราคม ทำให้บางสโมสรขอเลื่อนโปรแกรมกันหลายครั้ง จนทำให้การขยับโปรแกรมส่งผลถึงช่วงท้ายฤดูกาล ครั้นจะขยับโปรแกรมเพื่อให้มีช่วงเวลาในการเตรียมตัวมากขึ้น ก็ทำได้ยากลำบาก

เดิมทีโปรแกรมของ รีโว่ ไทยลีก 2021/2022 จะต้องจบลงในวันที่ 7 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับโปรแกรมนัดแรกของซีเกมส์ที่ทีมชาติไทยจะลงเล่น ไหนจะยังมีโปรแกรมฟุตบอลถ้วยอย่าง ช้าง เอฟเอ คัพ กับ รีโว่ ลีก คัพ ในรอบรองและรอบชิงชนะเลิศ อีกด้วย

ซึ่งการที่ฟุตบอลซีเกมส์ ไม่ใช่ช่วง ฟีฟ่าเดย์ ทำให้สโมสรนั้นสามารถเลือกที่จะไม่ปล่อยตัวนักเตะในสังกัดของตัวเองมาร่วมทีมชุดนี้ได้ ทำให้เดิมทีจาก 50 คน แทบจะไม่เหลือนักเตะให้เลือกถึง 20 คนเลยด้วยซ้ำ

เดือดร้อนถึง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม ต้องออกมาวอนไทยลีกและสโมสรต่างๆ เพื่อต้องการได้ตัวนักเตะมาร่วมทีม จนสุดท้ายจบลงที่เลื่อนฟุตบอลลีกให้จบฤดูกาลในวันที่ 4 พฤษภาคม รวมถึงเลื่อนรีโว่ ลีก คัพ ออกไปช่วงปลายเดือนแทน

มันก็ทำให้ทีมชาติไทยชุดนี้ได้นักเตะบางส่วนมาร่วมทีมได้ แต่บางสโมสรเองก็หัวเด็ดตีนขาด ไม่ยอมปล่อยแข้งคนสำคัญของตัวเองมา ซึ่งมันเข้าใจได้เพราะสโมสรยังมีโปรแกรมอยู่ เป็นใครก็ไม่อยากปล่อยมาอยู่แล้ว ต่อให้มาดามแป้งจะพยายามต่อสายคุยกับเหล่าประธานสโมสรแล้ว แต่ก็ไม่สามารถได้ตัวมาร่วมทีมอยู่ดี

จริงๆ แล้วชุดนี้จะให้ดี มันยังมีผู้เล่นในรุ่นยู-23 ที่สามารถเป็นตัวหลักให้ทีมได้อีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ศุภณัฎฐ์ เหมือนตา, นพพล ละครพล จาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด หรือ กฤษดา กาแมน, ฉัตรมงคล เรืองฐนโรจน์, บุคฆอรี เหล็มดี จาก ชลบุรี เอฟซี เป็นต้น

ซึ่งถ้าได้ผู้เล่นเหล่านี้มาจะช่วยยกระดับทีมชาติไทยชุดนี้ได้เพิ่มอีกมากมายแน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม ถึงจะเลื่อนโปรแกรมลีกให้จบเร็วขึ้น แต่สุดท้ายแล้วมาโน่กว่าจะได้ลูกทีมมาซ้อมร่วมกันแบบครบ 20 คน ก็ต้องรอถึงวันที่ 6 พฤษภาคม ก่อนแข่งกับมาเลเซียเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น

แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปฝึกซ้อมแท็กติกกันได้เล่า!

ยิ่งลองไปเปรียบเทียบกับทีมอื่นๆ ที่มาในซีเกมส์ครั้งนี้ เวียดนามนั้นมีเวลาซ้อมกว่า 4 เดือนเต็ม โดยที่ ปาร์ก ฮัง ซอ เฮดโค้ชชาวเกาหลีใต้ มีเวลาคลุกคลีกับนักเตะ ใส่แผนการเล่นต่างๆ และเลือกนักเตะอายุเกินเข้ามาใส่ในทีมชุดนี้ได้อย่างเหมาะสม แถมไม่มีดราม่าที่จะเลือกนักเตะที่ดีที่สุดมาเล่น เพราะพวกเขาไม่ได้มีโปรแกรมชนกับลีกเหมือนประเทศไทย

หรืออย่าง อินโดนีเซีย เอง อาจจะเจอปัญหาเรื่องการเรียกตัวนักเตะมาบ้าง เพราะบางคนเล่นอยู่ต่างประเทศ กว่าจะมาร่วมทีมได้ก็เกมนัดที่สอง แต่นักเตะคนอื่นๆ ในทีมนั้น ได้รวมตัวฝึกซ้อมและยังไปเก็บตัวต่างประเทศอีกด้วย ทำให้มีความพร้อมพอสมควร

อีกหนึ่งปัญหาเลยที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาเป็นทอดๆ จากการขาดเวลาเตรียมตัว มีเวลาฝึกซ้อมน้อยแล้วนั้น คือเรื่องของสภาพร่างกายนักกีฬาที่มาแข่งขันครั้งนี้

อย่างที่รู้กันว่าฟุตบอลลีกลงเตะกันมาอย่างต่อเนื่อง นักกีฬาก็ต้องลงเล่นมาโดยตลอด แล้วมาเจอกับการแข่งขันซีเกมส์ ทัวร์นาเมนต์ที่เตะแบบไม่ค่อยเป็นปกติเท่าไหร่ เพราะต้องลงเล่นแบบวันเว้นวัน บวกกับผลการแข่งขันนัดแรกไม่เป็นใจ ทำให้เกมที่เหลือในรอบแรกต้องจัดเต็มเกือบทุกนัด ทำให้ไม่มีจังหวะให้ได้ฟื้นฟูร่างกายมากเท่าที่ควร

และสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องความเหนื่อยสะสม จุดหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยว่าขุมกำลังสำรองของทีมชุดนี้ ไม่ได้ดีเทียบเท่ากับชุดตัวจริงได้

 

เราลองย้อนกลับไปตอน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ที่ได้แชมป์ กุนซืออย่างมาโน่สามารถสับเปลี่ยนหมุนเวียนนักเตะได้แบบไม่เคอะเขิน พร้อมเปลี่ยนผู้เล่นตัวหลักออกมาพักโดยที่สำรองก็ทำผลงานออกมาได้ดีไม่แพ้กัน

แต่ในซีเกมส์ครั้งนี้หลับตายังจิ้ม 11 ตัวจริงออกมาได้แบบไม่มีผิดเพี้ยน อาจจะมีแค่กองหน้าตัวเป้าตำแหน่งเดียว ที่มาโน่สลับไปมาระหว่าง กรวิชญ์ ทะสา กับ พาตริก กุสตาฟส์สัน แค่นั้นเอง

และตัวสำรองเองก็ทดแทนไม่ได้ เห็นได้ชัดในเกมกับอินโดนีเซีย แม้จะเปลี่ยนได้ 5 คนจาก 3 ครั้งตามกฎใหม่ แต่มาโน่เปลี่ยนแค่ตัวเดียวเท่านั้นในช่วง 90 นาที กว่าจะเปลี่ยนตัวอื่นๆ คือต้องรอให้หมดแรงหรือวิ่งต่อไม่ไหว จึงจะเปลี่ยน

ฉะนั้น มันคงต้องกลับมาย้อนดูที่ตัวเองว่าควรจะต้องวางแผนการเตรียมทีมให้มันดีกว่านี้หรือไม่ จะเลือกใช้ชุดไหนมาเล่นก็เอาให้มันชัด ไม่ใช่แทงกั๊ก เหรียญอยากได้ แต่โปรแกรมลีกกลับไม่เอื้อให้ทีมชาติเช่นกัน ไม่งั้นสุดท้ายทุกอย่างมันก็ออกมาพังตามเคย

คงต้องฝากถึง สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่ควรทำอะไรให้มันชัดเจน ไม่ใช่ ไม้หลักปักขี้เลน แบบนี้เป็นประจำ

แล้วบอกเลยว่าเวลาเตรียมตัวมีน้อยแล้วนะ เพราะซีเกมส์หนหน้ามาจ่อรอแล้วเช่นกัน •