ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
รัฐบาลประยุทธ์ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในรัฐบาลที่ “โง่” หรือ “เด๋อ” ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมี
ไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติของคนที่เป็นนายกหรือรัฐมนตรี
แต่เป็นเรื่องวิสัยทัศน์ของรัฐบาลทั้งหมด
หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นเรื่องความไม่มีวิสัยทัศน์โดยรวมของทุกฝ่ายในทำเนียบรัฐบาล
ขณะที่ความโง่ระดับปัจเจกขึ้นอยู่กับสติปัญญาและการขวนขวายหาความรู้ของบุคคล
ความโง่ของรัฐบาลเกิดจากความไม่สามารถเท่าทันโลกที่เปลี่ยนไป, ความเข้าใจบทบาทรัฐในทางที่ผิด, ความอ่อนด้อยในการกำหนดสถานะประเทศ รวมทั้งความผิดพลาดระดับเป้าหมายรัฐบาล
ตรงข้ามกับรัฐบาลโง่ซึ่งมีสาเหตุอย่างที่กล่าวไป รัฐบาลที่คนไทยยอมรับว่าฉลาดคือรัฐบาลที่เท่าทันโลก, เข้าใจว่ารัฐควรมีบทบาทอย่างไร, มีความแม่นยำในการกำหนดสถานะประเทศด้านเศรษฐกิจ-การเมือง-วัฒนธรรม-ยุทธศาสตร์ รวมทั้งมีเป้าหมายในการเป็นรัฐบาลที่เป็นประโยชน์กับประชาชน
ไม่มีรัฐบาลไหนยอมรับว่าตัวเองโง่
เช่นเดียวกับไม่มีนายกฯ คนไหนยอมรับว่าตัวเองคือนายกฯ แย่ๆ
แต่ถ้าเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์แบบที่คนพวกนี้ชอบพูด
ความรู้สึกซึ่งคนไทยมีต่อรัฐบาลชุดนี้จนคุณประยุทธ์เคยบ่นว่า “ทำอะไรคนก็มองว่าโง่” ก็คือเสียงสวรรค์ที่สะท้อนความจริงเรื่องนี้จริงๆ
เพื่อไม่ให้คำว่ารัฐบาลโง่ถูกตีความไปในทางส่งเสริมการบุลลี่หรือ “ด้อยค่า” คุณลักษณะบุคคล ขอขยายความว่าคำว่า “รัฐบาลโง่” ในที่นี้หมายถึงรัฐบาลที่ “ผิดฝาผิดตัว” จนเกิด “Irrelevant Politics” หรือการเมืองที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศจนสร้างปัญหาของประเทศขึ้นมา
การสั่งแบนลาซาด้าอาจเป็นหนึ่งในนโยบายที่แสดงความเป็น “รัฐบาลที่ผิดฝาผิดตัว”
จนทำให้รัฐบาลตัดสินใจกระทำการที่ไม่เกิดอะไรกับประโยชน์กับประเทศ
ต่อให้จะมีประโยชน์ในแง่การตอบสนองความเชื่อหรือเอาใจกลุ่มผลประโยชน์ที่หนุนหลังรัฐบาลก็ตาม
รัฐบาล “เล่นใหญ่” ในกรณีนี้ติดต่อกันหลายวัน
บุคคลที่เล่นใหญ่ก็มีตั้งแต่คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา, ผู้บัญชาการทหารบก, ผู้บัญชาการทหารเรือ, ผู้บัญชาการทหารอากาศ, รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ
หรือเท่ากับรัฐไทยและบุคคลสำคัญของรัฐบาลแทบทั้งหมดมายุ่งเรื่องนี้โดยตรงอย่างพร้อมเพรียง
นอกเหนือจากการทุ่มเททรัพยากรมาปะกับแอพพ์ขายของออนไลน์
มาตรการที่รัฐใช้ยังเป็นมาตรการที่อาจถูกตั้งคำถามว่าละเมิดสิทธิหรือไม่
ตัวอย่างเช่น คำสั่งห้ามทหารและครอบครัวซื้อสินค้า
รวมทั้งคำสั่งไม่ให้ครอบครัวทหารทำงานลาซาด้า ไม่อย่างนั้นจะถูกไล่ออกจากบ้านพักทหารทันที
ถ้ากองทัพเป็นบริษัทของคุณประยุทธ์ คำสั่งแบบนี้คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่เพราะกองทัพไม่ใช่ทรัพย์สินของคุณประยุทธ์และพวก
รัฐจึงต้องอธิบายสาเหตุในการรบกับแอพพ์ขายของให้ประชาชนรู้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลนี้เป็นของใครไม่รู้
ผู้บัญชาการทหารบกแถลงว่าเปิดศึกลาซาด้าเพราะด้อยค่าคนพิการและดูถูกความเป็นมนุษย์
แต่ในประเทศที่มีการให้บุคลากรกินน้ำอสุจิ, ซ้อมจนตาย, ฆ่าคนเสื้อแดงปี 2553, รัฐประหาร 2557 และบังคับเกณฑ์ทหาร 2 ปี ก็มีคำถามว่า กองทัพอยู่ในฐานะจะพูดเรื่องสิทธิมนุษยชนได้หรือไม่
แก่นของหลักสิทธิมนุษยชนคือทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่ากัน แต่องค์กรที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำจนทุกตารางนิ้วไม่มีพื้นที่ให้ความเป็นมนุษย์ ก็มีคำถามว่ามีสิทธิจะพูดเรื่องนี้หรือเปล่า
คุณศรีสุวรรณ จรรยา อ้างว่ากรณีลาซาด้ามีประเด็น 112 ขณะที่รัฐมนตรีดิจิทัลฯ ขู่ว่าเรื่องนี้อาจนำไปสู่การปิดทั้งแพลตฟอร์ม
ปัญหาคือเรื่องนี้เกี่ยวกับ 112 จริงหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ ซ้ำการขู่ปิดตั้งแต่ยังไม่เป็นคดีก็ยิ่งทำให้เรื่องนี้สะท้อนวัฒนธรรมที่อาจใช้อำนาจแบบอำเภอใจเกินไปหรือไม่
รัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าลาซาด้าทำตัวไม่เหมาะสมจนควรถูกดำเนินคดี
แต่รัฐมนตรีเองก็รู้ว่าตัวเองไม่มีอำนาจปิดแพลตฟอร์ม คำพูดที่ทำให้สังคมเข้าใจว่าจะปิดลาซาด้าทั้งหมดจึงไม่ควรเกิด เพราะหมายถึงผลกระทบต่อธุรกิจขนาดเล็กและร้านค้ามหาศาลที่ขายของผ่านแพลตฟอร์ม
กองทัพอาจคิดว่าตัวเองมีเหตุผลที่แบนลาซาด้า ถ้าเรื่องนี้มีประเด็น 112 จริงๆ
แต่คำถามคือต่อไปนี้กองทัพจะแบนทุกคนที่โดนคดี 112 หรือไม่
และจะแบนคนที่โดนคดีร้ายแรงกว่า เช่น ฆ่า, ข่มขืน, ยาเสพติด, รัฐประหาร ฯล หรือเปล่า หรือคดีอื่นไม่สำคัญ จนกองทัพไม่คิดจะมีท่าทีอะไร
ไทยเป็นไม่กี่ประเทศที่คดี 112 เป็นคดีความมั่นคง กองทัพจึงมีเหตุในมุมกองทัพที่จะแสดงออกเรื่องนี้กว่าคดีอื่น แต่คนทั่วไปก็มีเหตุให้ตั้งคำถามว่าทำไมรัฐเห็นคดี 112 สำคัญกว่าคดีประชาชนอื่นๆ ได้เช่นกัน
กรณีลาซาด้าทำให้รัฐบาลและกองทัพไทยเป็นเรื่องประหลาดใจในเวทีโลก เพราะปกติรัฐในประเทศอื่นๆ จะทะเลาะกับแอพพ์ขายของออนไลน์ก็ในกรณีฉ้อโกงหรือเป็นภัยคุกคามทางอินเตอร์เน็ต ขณะที่ทุกมาตรการในกรณีลาซาด้าสะท้อนว่ารัฐบาลไทยและกองทัพไทยเป็นองค์กรที่ถูกตั้งคำถามใช้อำนาจตามอำเภอใจหรือไม่
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่รัฐใช้อำนาจกรณีนี้เหมือนรัฐโบราณ
การเปิดศึก 112 กรณีลาซาด้าเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่รัฐดำเนินคดีกับประชาชนด้วยอัตราเร่งที่สูงผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่จับ “ตะวัน” เข้าคุกจนเกิดการอดอาหารประท้วงตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน
แน่นอนว่าการโหมใช้กฎหมาย 112 ในเวลาที่กระแสการชุมนุมต่อต้านต่ำนั้นทำให้รัฐปลอดภัยจากการวิจารณ์
แต่การแสดงออกที่รัฐมองว่าผิด 112 ทั้งที่เกิดการยัดคุกคนรุ่นเพนกวิน, รุ้ง, อานนท์, เบญจา ฯลฯ อย่างกว้างขวางไปแล้วนั้นสะท้อนความคิดคนเรื่องนี้แผ่กว้างไปกว่าเดิมอย่างน่าวิตก
คดี 112 ในระบบกฎหมายไทยคือคดีความมั่นคง แต่การที่รัฐมองคนรุ่นใหม่เป็นภัยความมั่นคงจนจับยัดคุกเยอะไปหมดคือภาพสะท้อน “สงครามระหว่างรุ่น” ที่เป็นหลักฐานว่าประเทศวิกฤตจริงๆ
มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้มากแล้วว่ารัฐบาลประยุทธ์ใช้กฎหมาย 112 เป็นเครื่องมือจรรโลงอำนาจการเมืองในเวลารัฐบาลประยุทธ์เผชิญกับความระส่ำระสายอย่างหนักหน่วงจริงๆ
แม้คุณประยุทธ์จะเป็นนายกฯ ครบ 8 ปี และทำทุกทางให้ตัวเองมีอำนาจถึงปี 2570 หรือเท่ากับยึดประเทศเป็นของตัวเองอย่างต่ำ 13 ปี
แต่การอยู่ยาวเพื่อสนองความกระหายอำนาจที่สวนทางกับความสำเร็จของประเทศกำลังทำให้คุณประยุทธ์ถูกทุกกลุ่มโจมตีกว่าที่ผ่านมา
รัฐบาลประยุทธ์กำลังเข้าสู่ปีสุดท้ายด้วยความทุลักทุเลอย่างที่ไม่เคยเป็น และถึงแม้จะเผชิญความผันผวนจากการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ทั้งประเทศในปี 2563 ความขัดแย้งในรัฐบาลก็ไม่ได้มากอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เช่นเดียวกับความขัดแย้งในกลุ่มสามนายพลด้วยกันเอง
ถ้ายอมรับว่าปี 2563 คือจุดสูงสุดของการต่อต้านที่มวลชนมีต่อรัฐบาล การเมืองในปี 2565 ก็คือจุดสูงสุดของความขัดแย้งในรัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ หรือพูดตรงๆ ก็คือจุดสูงสุดของการแก่งแย่งอำนาจระหว่างกลุ่มทหารที่ยึดอำนาจปี 2557 มาด้วยกัน
เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ มีพรรคพลังประชารัฐ และพรรคคุณธรรมนัส พรหมเผ่า อยู่ในมือ ซ้ำยังอาจมีพรรคเล็กและกลุ่ม 16 เป็นเครือข่าย ไม่ต้องพูดถึงความสนับสนุนที่ลือกันว่ามีต่อพรรคใหม่อย่างน้อยหนึ่งพรรค ขณะที่คุณประยุทธ์มีเพียงพรรครวมพลังที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ รีแบรนด์หลังพรรคแรมโบ้พัง
ไม่ใช่เรื่องปกติที่แกนนำรัฐบาลแต่ละฝ่ายตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนตัวเอง ความร้าวฉานแบบนี้คือสัญญาณการเมืองที่ผิดปกติ
ยิ่งรัฐบาลประยุทธ์อ่อนแอเท่าไร ยิ่งมีคำถามว่า การโหมใช้คดี 112 จะยิ่งมากขึ้นเพื่อบอกกับทุกฝ่ายว่าประเทศต้องมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ไปตลอดกาล ใช่หรือไม่