ตอกลิ่ม ทิ่ม ‘ตู่’ ชู ‘ป้อม’/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

ตอกลิ่ม

ทิ่ม ‘ตู่’

ชู ‘ป้อม’

 

แม้เป้าหมายที่นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ เปิดยุทธวิธี ล้ม “ตู่” ชู “ป้อม” ขึ้นมา

จะมุ่งวิจารณ์ไปยังพรรคฝ่ายค้านบางพรรค

ที่วางเป้าหมายจะล้ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะเดียวกันจะชู พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นมาแทน

“สื่อมวลชนน่าจะรู้ดีว่าเป็นพรรคใด คนเชื่อมคือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พูดถึงเรื่องนี้ ก็เป็นการพูดแบบรักษาน้ำใจ พล.อ.ประวิตร”

ซึ่งตามท่าทีของนายศรัณย์วุฒิ ซึ่งมีปัญหากับพรรคเพื่อไทยจนต้องถูกขับออกจากพรรคแล้ว ดูจะออกไปในทางไม่เห็นด้วยกับยุทธวิธีนี้

โดยชี้ว่ารับไม่ได้ หากฝ่ายค้านที่คิดจะล้มตู่แล้วไปชูป้อมแทน อยากจะให้ฟังเสียงประชาชนด้วยจะเอาหรือไม่

ไม่ใช่ไปมีดีลลับ ดีลลึกกัน

 

อย่างไรก็ตาม แม้ผู้เปิดประเด็นคือนายศรัณย์วุฒิจะไม่เห็นด้วย

แต่กระนั้นดูเหมือนยุทธวิธี ล้ม “ตู่” ชู “ป้อม” จะดำเนินไปอย่างชัดเจนและเข้มข้นขึ้นทุกที

โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาการขับเคลื่อนของพรรคเพื่อไทย วันที่ 7 พฤษภาคม ที่ห้องประชุมวันวาน บายพาโค่ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ในเวทีผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชน

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้าน บอกว่า สถานการณ์ในปัจจุบัน 3 ป.เริ่มแตกกันเอง เพราะพี่ใหญ่จ่ายหนักจ่ายไม่ไหว และสภาปัจจุบันถือว่าล้มลุกคลุกคลาน เพราะล่มถึง 17 ครั้ง สภาถูกกล่าวหาใช้กล้วยเพื่อให้สภาเดินได้ สภาอันทรงเกียรติกลายเป็นสภาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพื่อความอยู่รอดของรัฐมนตรีและนายกฯ แบบนี้จะทำอย่างไร ประชาชนอยากออกจากวิกฤต จึงถึงเวลาทวงคืนอำนาจ และขีดเส้นตายรัฐบาลที่สิ้นสภาพแล้ว

“เส้นตาย” ดังกล่าวถูกขยายความโดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค พท. ที่ระบุว่า สภาจะเปิดวันที่ 22 พฤษภาคม รัฐบาลจะเจอระเบิดเวลา 4 ข้อ คือ

1. การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2566

2. ร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับที่จะมีแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกติกาและยุบสภา

3. ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

และ 4. วาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ที่จะครบ 8 ปี

“รัฐบาลเรือแป๊ะตอนนี้มีรอยรั่วอยู่ 2 รู คือพรรคเศรษฐกิจไทย และพรรคเล็ก 16 เสียง ขณะที่เสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ สะวิงโหวตตรงกลางรวมแล้ว 30 กว่าเสียง ถือว่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้”

 

สะวิงโหวตกว่า 30 เสียง อันมาจากพรรคเศรษฐกิจไทย 18 เสียงและพรรคเล็ก 16 เสียง ที่เลขาธิการพรรคเพื่อไทยประเมินว่านำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้นี้เอง

ได้กลายเป็นเป้าหมายอย่างที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ประกาศไว้ก่อนหน้านี้

นั่นคือหาจำนวน 30 ส.ส.จากฝ่ายรัฐบาลมาเป็นกำลังหนุนเพื่อโค่น พล.อ.ประยุทธ์

ซึ่งตอนนี้มีปัจจัยและเงื่อนไขเกื้อหนุนให้เป็นไปได้ยิ่งขึ้นทุกที

โดยในกลุ่มพรรคเล็ก 16 เสียงนั้น นายพิเชษฐ สถิรชวาล ได้เป็นหัวหอกทะลวงเข้าไปยังรัฐบาล และพรรคพลังประชารัฐ

ด้วยการหยิบยกกรณีการประมูลระบบท่อส่งน้ำในพื้นที่อีอีซี ที่นายพิเชษฐอ้างว่าคณะกรรมการที่ราชพัสดุ กระทรวงการคลัง ภายใต้การดูแลของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ดูแลอยู่นั้น คัดเลือกเอกชนดำเนินโครงการไม่โปร่งใส

จึงเคลื่อนไหวร่วมกับฝ่ายค้าน ในปีกของนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยนัดหมายรับประทานอาหารเย็น แลกเปลี่ยน ข้อมูลกับกลุ่ม 16 ส.ส. ไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง

เพื่อที่จะเล่นงานนายสันติ จนสะเทือนไปทั้งคณะรัฐมนตรี และพรรคพลังประชารัฐ และทำท่าจะลามไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะผู้นำรัฐบาล

จนต้องลดแรงกดดันด้วยการเลื่อนการเซ็นสัญญากับเอกชนที่ชนะการประมูลออกไป พร้อมตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ

แต่เรื่องก็ไม่จบ แถมกลายเป็นความร้าวฉานยิ่งขึ้นไปอีก

เมื่อพรรคพลังประชารัฐจะเอาเรื่องถึงขั้นขับออกจากพรรค โดยตั้งกรรมการสอบสวนและให้นายพิเชษฐเข้าชี้แจง

สร้างความไม่พอใจให้นายพิเชษฐอย่างมาก ประกาศไม่เข้าไปชี้แจงและจะไม่เหยียบพรรค พร้อมจะลุยโครงการระบบท่อส่งน้ำในพื้นที่อีอีซีต่อ

และดึงเอากลุ่มพรรคเล็กเข้ามาเป็นแนวร่วม

ทำให้เสียงสนับสนุนรัฐบาลรวนเรทันที

โดยนายพิเชษฐประกาศว่า กลุ่ม 16 จะไปพูดคุยกับฝ่ายค้านเพราะอยากให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาว่ามีความเข้มข้นในการตรวจสอบรัฐบาล

“แม้จะอยู่ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่ได้หมายความว่าจะเห็นด้วยกับรัฐบาลทุกเรื่อง ต้องรอดูข้อมูลฝ่ายค้าน ถ้ามีข้อมูลหนักแน่นก็พร้อมยกมือสวน” นายพิเชษฐระบุ

อันไปเข้ายุทธวิธีของเพื่อไทยที่ต้องการดึงเสียงรัฐบาลมาสนับสนุนเพื่อโค่น พล.อ.ประยุทธ์พอดี

 

ไม่ใช่เพียงกลุ่ม 16 เท่านั้น ที่เอนเอียงมาฟากฝ่ายค้าน

ตามการเปิดเผยของนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ระบุว่าได้เชิญ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย มารับประทานอาหารเย็นด้วย

เพื่อหารือถึงเรื่องการบริหารบ้านเมืองที่ล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์ในวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคมนี้ เวลา 18.00 น.

ทั้งนี้ นายยุทธพงศ์อ้างว่า ร.อ.ธรรมนัสได้ตอบตกลงว่าจะมา 1 ล้านเปอร์เซ็นต์

ถือเป็นการตกลงที่สร้างความฮือฮาเป็นอย่างสูง

เพราะเป็นปัจจัยสำคัญเป็นอย่างมาก

ด้วยไปเพิ่มองค์ประกอบให้เสียงที่เคยสนับสนุนรัฐบาล ผันแปรมาสู่ฝ่ายค้าน

ซึ่งเท่ากับเป็นการเสริมความแข็งแกร่งการขับเคลื่อนของฝ่ายค้าน ไม่เพียงต่อญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเท่านั้น

หากยังส่งผลสะเทือนไปยังกฎหมายต่างๆ ที่รอการพิจารณาในสภาด้วย

ทำให้ทุกก้าวย่างไม่ว่าจะมาจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะมาจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่ว่าจะมาจากนายพิเชษฐ สถิรชวาล มีความหมายอย่างสูงนับจากนี้

ด้วยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างพันธมิตรแห่งแนวร่วม “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” ตามที่ ร.อ.ธรรมนัสเคยประกาศไว้

 

แนวร่วม “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” หากพัฒนาไปตามทิศทางข้างต้น

การ “โค่น” พล.อ.ประยุทธ์ ที่ดึงเอา 30 เสียงจากฟากรัฐบาลมาร่วมฝ่ายค้าน ก็มีโอกาสอย่างสูง

นี่จึงจำเป็นต้องแก้ไข-ขัดขวาง

และผู้ที่จะบทบาทสำคัญดังกล่าวก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับ ร.อ.ธรรมนัส

โดย พล.อ.ประวิตรออกมาเปิดเผยว่า ร.อ.ธรรมนัสได้โทร.มาบอกกับตนแล้วว่าไม่ไปรับประทานอาหารกับฝ่ายค้าน ขอทำงานเพื่อประชาชนดีกว่า จึงไม่ต้องห่วง

อย่างไรก็ตาม นายยุทธพงศ์ตัวตั้งตัวตีในการนัดหมายรับประทานอาหารกับ ร.อ.ธรรมนัส โต้ว่าจนถึงขณะนี้ ร.อ.ธรรมนัสยังไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการนัดหมาย พล.อ.ประวิตรจะตอบคำถามแทน ร.อ.ธรรมนัสได้อย่างไร เพราะ ร.อ.ธรรมนัสไม่ได้อยู่ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐแล้ว แต่เป็นเลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย จะไปไหนก็เรื่องของ ร.อ.ธรรมนัส

 

สงครามข่าวสารการดีล ล้ม-ไม่ล้ม รัฐบาล จึงเป็นไปอย่างดุเดือด

ซึ่งไม่เพียง พล.อ.ประวิตรจะออกมาพูดแทน ร.อ.ธรรมนัสเท่านั้น

หากแต่สังคมได้เห็นความเคลื่อนไหวที่จะดึงเอากลุ่มพรรคเล็กให้กลับคืนมาสนับสนุนรัฐบาลด้วย

โดยเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ซึ่งมีงานฉลองวันเกิดครบรอบ 44 ปีของนายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทรักธรรม ซึ่งมีแกนนำพรรคการเมืองโดยเฉพาะกลุ่ม 16 อาทิ นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ นายดำรงค์ พิเดช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย นางมารศรี ขจรเรืองโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ นายภาสกร เงินเจริญกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ และนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ มาร่วมงานอย่างคึกคักนั้น

ปรากฏว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ นำกระเช้าดอกไม้ของ พล.อ.ประวิตรไปอวยพรวันเกิดนายพีระวิทย์ด้วย

และนายสุชาติยังเป็นตัวแทน พล.อ.ประยุทธ์ อวยพรนายพีระวิทย์ด้วย พร้อมขอบคุณกลุ่มพรรคเล็กที่สนับสนุนรัฐบาลตั้งแต่วันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จนทำงานมาถึงทุกวันนี้

ทั้งนี้ นายสุชาติยืนยันถึงเสียงโหวตสนับสนุนรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า น่าจะเกิน 250 เสียง โดยในส่วนของเสียงพรรคเล็กที่จะโหวตให้รัฐบาลนั้น “ครบหมด”

 

การเกทับไปมาของฝ่ายค้านและรัฐบาลข้างต้น

จึงยังไม่อาจจะสรุปได้ว่า ยุทธวิธีของพรรคเพื่อไทยที่จะดึง 30 เสียงจากพรรคเศรษฐกิจไทยและกลุ่มพรรคเล็ก มาโค่น พล.อ.ประยุทธ์ จะสำเร็จหรือไม่

แต่ปฏิกิริยาขานรับคำเชิญจากฝ่ายค้าน ของกลุ่ม 16 และ ร.อ.ธรรมนัส

ซึ่งแม้ พล.อ.ประวิตรจะบอกว่าไม่มีการดินเนอร์ระหว่าง ร.อ.ธรรมนัสกับเพื่อไทยแล้ว แต่ฝ่ายรัฐบาลก็มิอาจวางเฉย หรือวางใจกับกระแสโค่น พล.อ.ประยุทธ์ได้

เพราะมันอาจพัฒนาไปสู่ความเป็นจริงได้

และที่สำคัญ เป้าหมายแห่งการโค่นล้ม ยังแฝงด้วยมิติแห่งการแยกแยะ คือเป้าหมายอาจอยู่ที่ “ป.” เดียวคือ พล.อ.ประยุทธ์

มิได้หมายรวมถึงการโค่น ป.ประวิตร

เพราะอย่างที่ทราบ ร.อ.ธรรมนัสยังมีสัมพันธ์อันดีกับ พล.อ.ประวิตร และพร้อมที่จะชู พล.อ.ประวิตรขึ้นมาแทน พล.อ.ประยุทธ์อยู่ตลอดเวลา

ทุกความเคลื่อนไหวของ ร.อ.ธรรมนัสและกลุ่ม 16 ที่ต่อท่อไปถึงพรรคเพื่อไทย ด้านหนึ่งจึงเสมือนเป็นลิ่มที่ถูกตอกลงให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ป. พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร แยกออกจากกันพร้อมๆ ไปด้วย

นี่จึงเป็นความซับซ้อนซ่อนเงื่อนแห่งเกมชิงอำนาจ ที่ทำให้พี่น้องอาจต้อง “หัก” กันเองด้วยปัจจัยและเงื่อนไขที่ทำให้ต้องเป็นเช่นนั้น!