ความหวังทองซีเกมส์บอลชาย ที่ไม่เคยมาพร้อมการเตรียมตัว / เขย่าสนาม : เด็กเก็บบอล

เขย่าสนาม

เด็กเก็บบอล

[email protected]

 

ความหวังทองซีเกมส์บอลชาย

ที่ไม่เคยมาพร้อมการเตรียมตัว

 

ทุกครั้งที่มีมหกรรมกีฬาระดับอาเซียนอย่าง ซีเกมส์ ขึ้นมา กีฬาหนึ่งที่คนจะสนใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น ฟุตบอลชาย ที่ไม่ว่าจะไปครั้งไหน ก็ต้องการเพียงเหรียญทองเท่านั้น

เพราะประเทศไทยคือเจ้าแห่งฟุตบอลชายซีเกมส์ คว้าเหรียญทองมาแล้วถึง 16 ครั้งด้วยกัน

แต่ก็ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ที่ฟุตบอลอาชีพในเมืองไทยนั้น ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นอาชีพแบบจริงจัง มันทำให้การเตรียมทีมนักกีฬาเพื่อเข้าแข่งขันนั้นทำได้ยากขึ้นว่าเดิม

จุดสำคัญเลยคือการแข่งขันฟุตบอลในกีฬาซีเกมส์ ไม่ใช่ช่วง ฟีฟ่าเดย์ ที่จะสามารถเรียกขอนักเตะจากสโมสรแล้วจะต้องปล่อยมาร่วมทีมโดยไม่มีเงื่อนไข

แม้ว่าในซีเกมส์จะมีการกำหนดอายุของนักเตะที่เข้าแข่งขัน เท่ากับว่าต้องใช้ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี แต่ในปัจจุบันบรรดานักเตะรุ่นยู-23 ก็มักจะมีฝีเท้าที่ดีและก้าวขึ้นไปเป็นตัวหลักของทีมชุดใหญ่ได้แล้วเกือบทั้งสิ้น ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สโมสรจะปล่อยตัวออกมาเช่นกัน

ยิ่งถ้าโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลลีกในประเทศยังไม่จบ แล้วชนกับการแข่งขันซีเกมส์แบบจังๆ ก็จะทำให้การเตรียมทีมนักกีฬายากยิ่งขึ้นไปอีก

 

ซึ่งมันก็มาเกิดกับกีฬาซีเกมส์ครั้งนี้ เมื่อการแข่งขันนั้นถูกเลื่อนมาจากปี 2021 เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนถูกวางโปรแกรมใหม่ให้แข่งในช่วงเดือนพฤษภาคม

แต่ฟุตบอลลีกของไทยกว่าจะจบก็เป็นช่วงกลางเดือนพฤษภาคม อีกทั้งจากที่ช่วงต้นฤดูกาล เจอการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ช่วงเปิดฤดูกาลเลื่อนออกมาช้ากกว่าปกติ กลายเป็นว่าหลังปิดฤดูกาล ยังมีโปรแกรมฟุตบอลถ้วยรอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ

สำหรับโปรแกรมฟุตบอลลีกในประเทศนั้น รีโว่ ไทยลีก 2021/2022 จะปิดฤดูกาลในวันที่ 7 พฤษภาคม จากนั้นยังมีฟุตบอล ช้าง เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ วันที่ 18 พฤษภาคม กับรอบชิงชนะเลิศ วันที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งเหลือ 4 ทีมก็คือ สุพรรณบุรี, นครราชสีมา, บุรีรัมย์, โปลิศ เทโร

นอกจากนี้ ยังมีรีโว่ ลีก คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดตกค้าง วันที่ 4 พฤษภาคม, รอบรองชนะเลิศ วันที่ 11 พฤษภาคม และรอบชิงชนะเลิศ วันที่ 15 พฤษภาคม มีทีมเหลืออยู่ 5 ทีม คือ พีที ประจวบ, ชลบุรี, ลีโอ เชียงราย และราชบุรี หรือบุรีรัมย์

 

ขณะที่ในส่วนของฟุตบอลชาย ซีเกมส์ หลังจากจับสลากแบ่งสายออกมาแล้ว โปรแกรมของทีมชาติไทยนั้น นัดแรก พบ มาเลเซีย วันที่ 7 พฤษภาคม, นัดสอง พบ สิงคโปร์ วันที่ 9 พฤษภาคม นัดที่ 3 พบ กัมพูชา วันที่ 14 พฤษภาคม และนัดสุดท้าย พบ ลาว วันที่ 16 พฤษภาคม ส่วนรอบรองชนะเลิศ วันที่ 19 พฤษภาคม กับนัดชิงชนะเลิศ วันที่ 22 พฤษภาคม

จุดหนึ่งที่ถือว่าเป็นข้อสังเกตสำหรับการวางโปรแกรมของเจ้าภาพอย่าง เวียดนาม ในกีฬาซีเกมส์ คล้ายคลึงกับรู้ถึงปัญหาการเตรียมทีมของประเทศไทย เพราะตามหลักเวลาฟุตบอลรอบแบ่งกลุ่ม เรามักจะเห็นทีมวางอันดับแรก พบเจอกับทีมวางอันดับสุดท้ายในเกมแรก

แต่ทว่าในซีเกมส์ครั้งนี้ กลับจัดเอาทีมวางอันดับ 1 ของกลุ่ม เจอกับทีมวางอันดับ 2 ของกลุ่มตั้งแต่เกมแรก อย่างที่ทีมชาติไทยจะต้องเจอกับมาเลเซียตั้งแต่นัดแรกของการแข่งขัน ไหนจะเกมที่สอง ที่ต้องเจอกับสิงคโปร์อีก

ซึ่งมันส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการวางแผนของทีมชาติไทย เพราะเท่ากับว่า 2 นัดแรกเจอทีมที่หนักที่สุดในกลุ่ม ครั้นจะวางแผนส่งผู้เล่นไปแบบไม่ครบทีม ค่อยให้ตัวหลักๆ ที่เสร็จสิ้นจากภารกิจสโมสรบินตามไป ก็คงเป็นเรื่องที่ยาก

เท่ากับว่าตารางแข่งขันตรงกันแทบจะทั้งหมด และเมื่อดูจากทีมที่เหลือในฟุตบอลถ้วย ก็จะเห็นรายชื่อของนักเตะหลายๆ คน ที่อยู่ในข่ายต้องรับใช้สโมสรในช่วงฟุตบอลถ้วย ไม่ว่าจะเป็น ศุภณัฎฐ์ เหมือนตา, อิรฟาน ดอเลาะ, นพพล ละครพล ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด / กฤษดา กาแมน, ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์, ทรงชัย ทองฉ่ำ, บุคฆอรี เหล็มดี จากชลบุรี เอฟซี / ธิติ ทุมพร จากนครราชสีมา / เมธี สาระคำ จากพีที ประจวบ เป็นต้น

เรียกได้ว่านักเตะเหล่านี้ล้วนแต่เป็นกำลังสำคัญของทีมชุดซีเกมส์เลยก็ว่าได้ แบบที่ถ้าขาดไป คุณภาพทีมจะลดลงไปเยอะมาก แม้ว่าอาจจะได้พวกตัวต่างประเทศอย่างเบนจามิน เจมส์ เดวิส หรือโจนาธาน เข็มดี มาช่วยก็ตาม

 

นี่คือโจทย์ใหญ่ของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม และ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ หัวหน้าผู้ฝึกสอน ในการที่จะต้องหว่านล้อมสโมสร เพื่อจะให้ปล่อยผู้เล่นที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้มาร่วมทีม

ว่ากันตามตรงแล้ว เรื่องนี้มีแต่เสียกับเสีย

เพราะความหวังของคนไทย รวมถึงรัฐบาล, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือการกีฬาแห่งประเทศไทย คือเหรียญทองสถานเดียว ไม่มีพื้นที่ให้กับความผิดพลาด

ก็น่าแปลกใจเหมือนกัน ทั้งๆ ที่จบจากซีเกมส์ มีรายการที่สำคัญกว่าอย่าง ชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ประเทศอุซเบกิสถาน แต่เชื่อหรือไม่ว่า ต่อให้เข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายหรือเข้าชิงถ้วยเอเชียได้ แต่ถ้าตกรอบหรือไม่ได้แชมป์ซีเกมส์ คนไทยก็มองว่านี่คือความผิดพลาดที่ให้อภัยไม่ได้อยู่ดี

แล้วว่ากันตามตรง คนที่มานั่งคาดหวัง ไม่เคยได้รู้ถึงความยากลำบากของคนที่ต้องทำงานเลยสักนิด

ทางเลือกมันมีแค่ 2 ทาง คือส่งทีมไปบางส่วน แล้วจบภารกิจสโมสรค่อยตามกันไป หรือจัดเอาชุดที่พร้อมที่สุดไปลุยเลย

มันคงไม่มีใครการันตีได้ว่า ถ้าหากเลือกส่งผู้เล่นไปแบบไม่เต็มทีมแล้วลุย 2 เกมแรกไปแบบวัดดวง ค่อยให้คนอื่นๆ ตามหลังไปแล้วลุยกันเต็มที่ในทุกเกมที่เหลือ มันอาจจะไปถึงแชมป์ได้ แต่ถ้า 2 นัดแรกพลาด มันอาจจะหมายถึงตกรอบแรกได้เลย

ขณะที่ถ้าเลือกผู้เล่นที่พร้อมที่สุด เท่าที่จะเรียกมาติดทีมได้ ก็อาจจะได้คล้ายๆ ชุดผสมยู 19, 21 และ 23 ที่ไปลุยชิงแชมป์อาเซียน ที่ประเทศกัมพูชา แน่นอนว่าคุณภาพผู้เล่นอาจจะไม่ได้สูงที่สุด แต่ก็ต้องไปวัดหนักสักหน่อยกับเวียดนาม ซึ่งในทัวร์นาเมนต์นั้นเราแพ้เขาถึง 2 นัด รวมถึงรอบชิงชนะเลิศ

เวลาก็เข้มงวดเข้ามา คงต้องมาดูกันว่าสุดท้ายแล้วทีมชาติไทย จะเลือกแบบไหน

งานนี้เหรียญทองคือเสมอตัว แต่ถ้าพลาด คงโดนยำเละเทะแน่นอน •