ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
เคยได้ยินกันมาบ่อยครั้งแล้วใช่ไหมครับว่า โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่
หลายเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเก่าก่อนก็เกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นบทเรียนสอนใจให้เราได้รู้เห็นและเก็บไว้ในความทรงจำก่อนที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในวันข้างหน้า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำเดิมแต่ละครั้งถึงแม้จะมีรายละเอียดต่างๆ ไปบ้าง แต่ก็ไม่ทิ้งหลักเดิมที่ทำให้เราพอมองเห็นเค้าได้อยู่
ใช่ครับ วันนี้ผมจะพูดถึงเรื่องสงครามที่เกิดขึ้นในภาคพื้นทวีปยุโรประหว่างรัสเซียกับยูเครนที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังอยู่ในเวลานี้
น่าเสียดายและน่าเศร้าใจที่ถึงแม้มนุษย์เรารู้ว่าสงครามนำมาซึ่งความตายและความสูญเสียจำนวนมหาศาล แต่สงครามก็ยังเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ใช้ก้อนหินขว้างปาหรือทุบหัวกัน แล้วขยับมาช้างขี่ม้ารบกัน ใช้หอกดาบหรือธนูเป็นอาวุธ วันนี้เปลี่ยนมาเป็นรถถัง เครื่องบินและจรวดที่มีศักยภาพยิงข้ามพรมแดนของประเทศได้ สงครามไม่เคยจบสิ้น และในวันข้างหน้าผมเชื่อว่าก็จะยังมีสงครามเกิดขึ้นอีก
ส่วนจะเกิดขึ้นมุมไหนของโลกและมีขนาดใหญ่โตแค่ไหน ยืนยาวปานใด เราต้องรอดูกันต่อไปครับ
ทุกวันนี้เมื่อนั่งดูข่าวโทรทัศน์หรือดูข่าวจากโทรศัพท์มือถือของตัวผมเองเกี่ยวกับความเป็นไปของสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครนคราวนี้ สิ่งที่เกิดซ้ำเดิมขึ้นอีกครั้งหนึ่งนอกจากสงครามที่ใช้อาวุธประหัตประหารกันแล้ว ยังมีแนวรบด้านหนึ่งที่ไม่ได้จำกัดพื้นที่อยู่แค่ในยุโรป หากแต่ลุกลามต่อเนื่องไปจนถึงโลกทั้งใบรวมทั้งเมืองไทยของเราด้วย
แนวรบที่ว่านี้คือแนวรบสงครามสื่อสาร
นอกจากการได้ชัยชนะในการรบแบบใช้อาวุธจริงแล้ว การได้กองเชียร์หรือสมัครพรรคพวกจากคนที่อยู่ทั้งในและนอกสนามรบ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญและจะช่วยเกื้อหนุนให้การรบนั้น เกิดภาวะสมมติที่เรียกว่า “เหตุผลอันชอบธรรม” ของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสงครามครั้งนั้น เพื่อได้ใช้เป็นเหตุผลอธิบายกับประชาคมโลกว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่มีความถูกต้องมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
เหตุผลนี้มีตั้งแต่เหตุผลระดับนโยบาย ซึ่งผมคงไม่ต้องอธิบายซ้ำในที่นี้ว่ารัสเซียพูดว่าอะไรและยูเครนพูดว่าอะไรมาบ้างก่อนที่จะเกิดสงครามยิงกันตูมตามขึ้นจริงๆ และเมื่อเกิดสงครามรบพุ่งกันแล้ว สงครามข่าวสารนี้ก็ขยายวงไปจนถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ความสูญเสียของแต่ละฝ่าย การประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร้มนุษยธรรมของฝ่ายตรงข้าม กำลังใจที่อย่างเข้มแข็งและพร้อมจะต่อสู้ของฝ่ายตนเอง ท่าทีของผู้นำประเทศว่าวางตนอย่างไรในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมไปถึงข่าวสารอื่นๆ อีกสารพัดแง่มุม อย่างที่เราได้พบเห็นอยู่แล้วในขณะนี้
ก่อนที่ท่านจะอ่านบทความนี้ต่อไป ผมขอแจ้งความเสียก่อนว่า ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่ติดตามสงครามรัสเซียยูเครนในขณะนี้
ผมไม่เป็นกลางนะครับ
ความไม่เป็นกลางของผมในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงประเด็นเรื่องนโยบายระดับชาติ ซึ่งใหญ่โตลึกซึ้งกว้างกว้างเกินสติปัญญาของผมจะบอกได้ว่านโยบายของรัฐเซียหรือนโยบายของยูเครน เกี่ยวข้องโดยตรงโดยอ้อมหรือไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดสงครามครั้งนี้ขึ้นอย่างไร
หากแต่หมายถึงความหมายอย่างตรงไปตรงมาว่า ชาวเมืองยูเครนมีสิทธิโดยธรรมที่จะอยู่โดยปกติสุข ไม่มีระเบิดหรือจรวดมาหล่นใส่หัวรายวันอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
การต่อต้านการทำสงครามรุกรานหรือที่ฝ่ายรัสเซียเรียกให้หรูหราว่า “ปฏิบัติการพิเศษ” ของชาวยูเครน จึงเป็นไปโดยพร้อมเพียงในมิติที่หลากหลาย
ตั้งแต่รวมกลุ่มกัน ร้องเพลงชาติยูเครนกลางจตุรัสในกรุงเคียฟ แล้วบันทึกเป็นคลิปสั้นนำออกเผยแพร่ในช่องทางต่างๆ ที่ไปถึงคนนับล้านได้ในเวลาเพียงแค่พริบตา ไปจนถึงคุณแม่บ้านทั้งหลายจับอาวุธขึ้นต่อสู้ป้องกันบ้านเมือง
เสียงร้องเพลงของคนเพียงแค่ 10 คนที่จัตุรัสแห่งนั้นจึงดังมาเข้าถึงหูผมด้วย
เทียบกับสมัยสงครามโลกครั้งที่สองยุคที่พ่อแม่ของผมต้องอยู่กับภัยสงครามระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับฝ่ายอักษะ ซึ่งเจ้ากรรมทำให้ฝ่ายเราต้องไปอยู่กับฝ่ายอักษะเสียด้วย
เพลงปลุกใจของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งแต่งโดยหลวงวิจิตรวาทการ ต่อให้ส่งเสียงร้องดังแค่ไหนก็ไปไม่เกินขอบเขตแผนที่ประเทศไทยหรอกครับ
สู้เสียงร้องเพลงชาติยูเครนที่ผมได้เห็นไม่ได้ เพราะถึงแม้จะไม่เข้าใจเลยสักคำเดียวว่าเขาร้องว่าอะไรบ้าง แต่เพียงเห็นใบหน้าและแววตาของคนร้องที่ปรากฏชัดอยู่ในคลิปที่ผมได้ดูแล้ว ผมก็เข้าใจได้โดยอัตโนมัติว่าชาวยูเครนกำลังส่งสารอะไรมาถึงผม
เขากำลังพูดถึงสิทธิที่จะมีลมหายใจต่อไปในชั่วโมงข้างหน้าหรือแม้แต่นาทีต่อไป
แนวรบของสงครามข่าวสารครั้งนี้จึงพัฒนาไปจนเกิดสงครามโลกแห่งโซเชียลมีเดียด้วย
เมื่อไม่กี่วันมานี้มีคลิปสั้นมาเผยแพร่อยู่ในโซเชียลมีเดีย มีคำอธิบายตอนแรกว่า เป็นข่าวปลอมที่ฝ่ายยูเครนสร้างขึ้นเพื่อใส่ร้ายป้ายสีรัสเซีย เห็นภาพถุงดำบรรจุศพวางเรียงรายอยู่เบื้องหลังผู้สื่อข่าวที่รายงานข่าว แล้วอยู่ดีๆ คนที่อยู่ในถุงนั้นก็เปิดถุงเพื่อออกมาหายใจด้วยตัวเองเพราะรู้สึกอึดอัดเต็มทีแล้ว
สำนักข่าวที่เป็นสื่อรายหนึ่งในประเทศไทยกระโดดฮุบข่าวนี้เข้าเต็มเปา นำมารายงานในสถานีโทรทัศน์ เป็นเชิงเล่าข่าวว่า เห็นไหม! ยูเครนจัดฉากตบตาชาวโลกถึงขนาดนี้
อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเรื่องกลับตาลปัตร เพราะภาพดังกล่าวไม่ใช่เหตุการณ์ข่าวสงครามครั้งนี้ แต่เป็นกิจกรรมรณรงค์ลดโลกร้อน ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับประเด็นสงครามรัสเซียยูเครนแต่อย่างใด
เมื่อความจริงปรากฏขึ้นมาเช่นนี้แล้ว สำนักข่าวที่ว่าก็นิ่งเฉยเสียเหมือนอย่างที่วัยรุ่นสมัยนี้บอกว่า ก็ทำ “อึนๆ” ไป
นี่ก็บอกให้เรารู้เหมือนกันครับว่า การรับข่าวสารทั้งหลายในช่วงนี้ต้องกำกับด้วยสติ และแถมด้วยปัญญาเป็นสำคัญ
และดูเหมือนจะบอกต่อไปด้วยว่า อคติที่มีอยู่ในใจของเรานั่นเองจะเป็นพื้นฐานให้เรารับข้อมูลข่าวสาร เชื่อในข้อมูลข่าวสาร และส่งต่อข้อมูลข่าวสารที่ได้รับไว้ด้วยทัศนคติอย่างไร
ทุกวันนี้ตอนเช้าผมได้รับข่าวสารแหลกเหลวเพื่อนส่งมาให้ทางไลน์เยอะแยะเลยครับ อิอิ
สำหรับตัวผมเองอย่างที่บอกแล้วนะครับ ว่าเรื่องนี้ผมมีอคติ
ผมเห็นมนุษย์เป็นมนุษย์ ผมมีท่าทีชัดเจนไม่มีผู้นำชาติใดมีความชอบธรรมที่จะไปปาระเบิดใส่บ้านเมืองคนอื่น
พอรู้ว่าตัวเองไม่เป็นกลางอย่างนี้แล้วก็สบายใจไปเปลาะหนึ่ง
อย่างน้อยก็เขียนบทความครั้งนี้ได้โดยไม่ต้องกั๊ก
แล้วปลอมตัวว่าเป็นกลาง ทั้งๆ ที่ไม่เป็นกลาง ฮา!