ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ขอแสดงความนับถือ |
เผยแพร่ |
ขอแสดงความนับถือ
มติชนสุดสัปดาห์ เมื่อฉบับ 18 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา
อาจารย์สุภา ปัทมานันท์ เคยนำเสนอเทรนด์คนรุ่นใหม่ในญี่ปุ่น มาให้เรารู้จักนั่นคือ Freeter
หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “ฟรีตะ”
ฟรีตะ คือกลุ่มคนที่เบื่อการทำงานประจำที่เคร่งเครียด
จึงหนีความซ้ำซากจำเจ ลาออกมาทำงานเล็กๆ น้อยๆ แทน
สวนทางกับวัฒนธรรมการทำงานของชาวญี่ปุ่นที่ต้องทำงานหนัก
ทำแล้วก็จะปักหลักกับงานเดิมจนเกษียณอายุ ไม่ลาออกจากองค์กรกันง่ายๆ
มีการสำรวจกันว่า มีชาวญี่ปุ่นราว 10 ล้านคน เป็นฟรีตะ
สร้างความกังวลสำหรับรัฐบาลญี่ปุ่นที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนกำลังคนวัยแรงงาน ที่มาเจอกับเหล่าฟรีตะอีก
ในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับนี้ จิตต์สุภา ฉิน แห่งคอลัมน์ Cool tech
พาเราไปรู้จักกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีลักษณะเหมือน “ฟรีตะ”
นั่นคือ ‘ถ่างผิง’
คำจีนที่แปลตรงๆ คือ “การนอนราบ” นั่นเอง
ถ่างผิงเป็นความเคลื่อนไหวของคนบนอินเตอร์เน็ตรุ่นใหม่ในจีน
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในเจอเนอเรชั่น Z หรือเจนซี
ที่เริ่มส่งสัญญาณให้เห็นว่าพวกเขามีทัศนคติในการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป
ไม่เอาแล้วกับโมเดลการทำงานหนักไม่ลืมหูลืมตา
ทำงานเช้าตรู่จนถึงดึกดื่น
เป็นรูปแบบการทำงานของคนรุ่นเก่า ที่เชื่อว่าให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าในบั้นปลายชีวิต
แต่เหล่า ‘ถ่างผิง’ ไม่อยากอยู่ในกรอบของความสำเร็จแบบเดิมๆ นั้น
คือทำงานหนัก แต่งงาน มีลูก ซื้อบ้านและซื้อรถ
ไม่อยากคำนึงถึงเรื่องความก้าวหน้าในการทำงานมากเหมือนคนรุ่นก่อน
จึงโต้ตอบ “กระแสเก่า” ด้วยการทำงานของตัวเองอยู่ในระดับที่น้อยที่สุด
ไม่ทำงานเกินขอบเขตภาระหน้าที่
ไม่เอาตัวเข้าแลก
แต่จะให้ความสำคัญกับคนรอบๆ ตัวและแบ่งเวลามาดูแลสุขภาพกายและใจของตัวเองให้มากขึ้น
“การนอนราบ” กลายเป็นเครื่องมือช่วยจัดการความเจ็บปวดที่มาจากความยากลำบากในการแข่งขันกับคนอื่น
และเจ็บปวดกับการทำงานชนิดที่หลักแทบหักแต่ค่าตอบแทนที่ได้ไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายพื้นฐานในแต่ละเดือน
พวกเขาชี้ว่าการทิ้งตัว ‘นอนราบ’ ไม่ได้แปลว่านอนรอความตาย
ยังใช้ชีวิต ยังทำงาน แต่แค่จะทำงานในปริมาณที่จำเป็นก็พอ
แน่นอนเหล่าถ่างผิงย่อมสร้างความหนักอกหนักใจให้กับรัฐบาลจีนพอสมควร
และรัฐบาลจีนก็ทำทุกวิถีทางที่จะระงับปรากฏการณ์ถ่างผิงไม่ให้แพร่กระจายมากกว่านี้
เพราะกลัวว่าจะไปท้าทายความเป็นระเบียบเรียบร้อยของโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจอันเข้มข้นของจีน
จะได้ผลหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป
จากฟรีตะ มาถึงถ่างผิง อาจรวมถึง “กลุ่มสามนิ้ว” ในไทย
ที่ดูจะเป็นความห่วงใยคนของคนรุ่นเก่า ว่า คนรุ่นใหม่กำลังเป็นปัญหา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ “จิตต์สุภา ฉิน” นำมาสะท้อนผ่านคอลัมน์ของเธอ
คือ “เข้าใจ Gen Z ในแบบที่ Gen Z เป็น”
อาจจะทำให้เจเนอเรชั่นเก่า สบายใจกับเหล่าเจเนอเรชั่นซี มากยิ่งขึ้น
คือแทนที่จะต่อต้าน หรือรู้สึกว่าเป็นปัญหา ลองแปรเปลี่ยนเป็นการพยายามเข้าใจ
จะทำให้เข้าใจว่า คนเจนใหม่นี้ให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง
มีไลฟ์สไตล์หรือการให้คุณค่ากับอะไรที่ไม่เหมือนคนเจนก่อนๆ อย่างไร
เข้าใจแล้วก็อาจจะแลเห็นมุมมองใหม่ๆ และสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
ไม่ใช่โทษกันไปมา
แบบผู้ใหญ่ตราหน้าว่าคนรุ่นใหม่เป็นเจเนอเรชั่นลอยชาย หยิบจับอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ฉาบฉวย ขี้เกียจ
ในขณะที่เด็กเจนซีก็มองว่าคนเจนก่อนยึดติดกับความสำเร็จรูปแบบเดิมๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
เป็นการปะทะทางเจเนอเรชั่นที่ไร้ประโยชน์ •