กบกินเดือน / เรื่องสั้น : ณ ชล คนธรรมดา

เรื่องสั้น

ณ ชล คนธรรมดา

 

กบกินเดือน

 

พระจันทร์เปล่งสีเลือดก่อนจะถูกกลืนกินหายไป ผืนฟ้ามืดมิดราวถูกอสูรร้ายเข้าครอบครอง เสียงพลุ ประทัด ตีเกราะ เคาะต้นไม้ ดังไปทั่วหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา

ไม่มีใครต้องการให้ผืนฟ้าถูกบดบังมืดมิดไร้แสง ไม่มีใครอยากจมชีวิตอยู่กับความมืดมนอนธการตลอดไป

“ไอ้กบยักษ์ช่างชั่วร้ายจริงหนอ กินดวงเดือนแล้วยังกลืนคนไปอีก” อดีตผู้ใหญ่บ้านพึมพำขณะสองตาจ้องมองความเงาดำเข้าบดบังดวงจันทร์ดวงโตยามค่ำด้วยความหดหู่เศร้าสร้อย

จันหอมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงปึงปังราวกับกำลังเกิดสงคราม มันช่วยปลุกให้เธอตื่นจากฝันร้าย ในฝันเธอถูกไล่ล่าต้องหนีหัวซุกหัวซุน ยักษ์ใหญ่ตัวสูงกว่าต้นสักเงื้อมกระบองหินไล่ทุบตีเธอและมวลชนแตกกระเจิง เธอหนีซมซานเข้าไปซุกตัวอยู่ในถ้ำแคบๆ แต่ว่าเจ้ายักษ์ไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ ย่างสามขุมวนเวียนไปมาอยู่รอบๆ ถ้ำ ทุบกระบองหินโครมคราม หญิงสาวขดตัวสั่นงันงก เหลียวไปทางใดก็มีแต่ความมืดน่าสะพรึงกลัว

นักศึกษาสาวเพิ่งเดินทางจากเมืองใหญ่กลับมาถึงบ้านตีนดอยในตอนบ่ายแล้วผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อได้ยินเสียงดังลั่นเธอพยุงกายที่ปวดเมื่อยและอ่อนล้าลุกขึ้นนั่ง ยกมือขึ้นอังหน้าผาก พบว่ามันร้อนจนมีเหงื่อผุดออกมา เธอเหลียวมองรอบตัว มีแต่ความมืดเหมือนอยู่ในถ้ำ มือของเธอควานเข้าไปในเป้าสะพายข้างหมอน คว้าไฟฉายกระบอกเล็กติดมือออกมา เลื่อนปุ่มเปิด แสงไฟริบหรี่ ค่อยๆ ลุกจากเตียงไม้ซึ่งต่อขึ้นหยาบๆ ลั่นเอี๊ยดอ๊าดเดินออกไปหน้าบ้าน พบเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนอกชานกำลังเหม่อมองฟ้า

“ตื่นแล้วหรือลูก” เป็นคำเอ่ยทักทายแข่งกับเสียงที่ชาวบ้านกำลังขับไล่กบยักษ์ชั่วร้าย

“จ้ะพ่อ” หญิงสาวแหงนมองท้องฟ้ามีเงาบดบังจันทร์จนมองไม่เห็น

แสงจากพลุตะไลพุ่งขึ้นไปขีดฟ้าเพียงแวบเดียวแล้วเลือนหายไป

 

“หายปวดหัวหรือยังลูก” ผู้เป็นพ่อถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเมื่อตอนลูกสาวโผเผมาถึงบ้านบอกว่า เหนื่อย เพลีย และปวดศีรษะ ขอนอนสักงีบหนึ่ง

คำถามของพ่อเหมือนไปสะกิดแผลฝังลึกในใจ จันหอมรู้สึกปวดตึบๆ บนศีรษะขึ้นมาทันที อาการปวดมีมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เธอตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวสามเดือนก่อน การปะทะนองเลือดในครั้งนั้น นำมาซึ่งความสูญเสียเพื่อนพ้องพี่น้องและคนที่รักไปหลายคน หลังจากนั้นเธอเกิดอาการนอนไม่หลับ แล้วก็ปวดศีรษะมากขึ้นเรื่อยๆ กินยาก็ได้แค่บรรเทา มันไม่เคยหายขาด เหมือนว่ามีบาดแผลอยู่ในกะโหลกของเธอ

บาดแผลจากความเคียดแค้นชิงชังคนพวกนั้น

พวกเขามีอาวุธพร้อมมือพร้อมลั่นไกใส่คนมือเปล่าเดินบนถนนตะโกนเรียกร้องเสรีภาพ ไม่รู้ว่าจิตใจของพวกเขาทำด้วยอะไร พวกเขาพร้อมจะทำตามคำสั่ง คำสั่งเข่นฆ่าคนร่วมชาติให้ด่าวดิ้น ไม่ว่าเด็ก คนท้อง หรือแม้แต่พระสงฆ์ พวกเขาก็ไม่ละเว้น พวกเขาช่างอำมหิตจริงๆ

จันหอมไม่เคยเล่าให้พ่อฟัง แต่เรื่องที่เธอต้องหลบๆ ซ่อนๆ ก็เข้าหูพ่อจนได้ พ่อร้อนรนให้เธอรีบกลับบ้าน พ่อโทร.มาหาเธอแทบทุกวัน น้ำเสียงของพ่อตื่นตระหนกหวาดวิตก จนสุดท้ายเธอต้องตัดสินใจลาจากเพื่อนพี่น้องร่วมอุดมการณ์ชั่วคราว เพราะเธอรู้สึกว่าอาการเป็นห่วงเธอของพ่อน่าเป็นห่วงเหมือนกัน เกรงว่าจะไปทำให้บาดแผลใจจากการสูญเสียของพ่อจะกำเริบขึ้นมาอีก

พ่อก็มีแผลบาดลึกแผลใหญ่ แม่ของจันหอมหายออกจากบ้านไปตอนเธออายุแค่ห้าหกขวบ เธอยังจำความอะไรไม่ค่อยได้ ทำให้ผู้ใหญ่บ้านหนุ่มซึ่งปกติเป็นคนร่าเริงเปลี่ยนเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดไม่คอยจา ต่อมาพ่อก็ลาออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับท้องนาหรือไม่ไปหมกตัวอยู่กับไร่ข้าวโพดไร่ถั่วบนดอย แม้แต่รอยยิ้มให้ลูกสาวคนเดียวก็ยังไม่มี

เธอต้องอยู่ในการดูแลของย่าและปู่จนแตกเนื้อสาว พ่อจึงกลับเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตของเธอมากขึ้น แต่เป็นเรื่องความเป็นห่วงในอนาคตของลูกสาวคนเดียว ไม่อยากให้มีชีวิตจมปลักเหมือนพ่อ พ่อมุมานะทำนาทำไร่ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินส่งให้ลูกสาวเรียนหนังสือ จนกระทั่งลูกสาวได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่ พ่อหวังว่าลูกสาวคนเดียวจะได้รู้ทันคน สามารถดูแลตัวเองได้ จะได้ไม่ถูกรังแกและเอารัดเอาเปรียบ แต่ว่าความจริงไม่เป็นดั่งที่พ่อคิด โลกใบนี้ไม่เคยมีคำว่าสวยหรู

วันนี้นักศึกษาสาวปีสุดท้ายกลับบ้านพร้อมกับความรันทดและช้ำชอกใจ

 

อีกแล้ว! จู่ๆ ภาพของตูก็ลอยมาอยู่ตรงหน้า หญิงสาวสวยผมยาวสลวยใส่หมวกแก๊ปสีดำที่ร่วมเดินบนถนน เธอตะโกนตลอดทางพร้อมกับชูสาวนิ้วว่า “ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้ ฉันจะไม่ยอมให้บ้านของฉันตกอยู่ในขุมนรก ไอ้พวกบ้าอำนาจจงพินาศ” ในช่วงหยุดพักเธอส่งขวดน้ำที่ใส่ติดเป้หลังมาให้จันหอมดื่มพร้อมรอยยิ้มแห่งความเป็นมิตร “พวกเราจะสู้ไปด้วยกัน” น้ำเสียงของเธอมีพลังเข้มแข็ง

ต่อมาจันหอมกับตูได้เป็นเพื่อนกันทางเฟซบุ๊ก เมื่อก่อนตูเป็นหญิงสาวร่าเริง มีใบหน้าและผิวงามดั่งที่เรียกว่าผิวพม่านัยน์ตาแขก เธอเคยเข้าประกวดนางงามระดับชาติ สองคนนัดกันเดินลงถนนหลายครั้งจนสนิทสนมกันเป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง แต่ว่าในครั้งสุดท้ายที่เดินเคียงคู่กัน ตูกลับกระซิบข้างหูจันหอมด้วยน้ำเสียงเจอความขมขื่นใจ “พี่ต้องไปแล้วล่ะ พวกมันหมายหัวพี่แล้ว” เธอตบไหล่น้องสาวร่วมอุดมการณ์แล้วปลีกตัวแยกจากขบวนเดินหายไปในความมืด

อนิจจาวันนี้หญิงสาวที่เป็นนางงามต้องถูกหมายหัวเอาชีวิตเพราะไม่ต้องการให้ชาวบ้านถูกกดขี่อยู่ใต้อุ้งเท้าของอำนาจ แรกๆ จันหอมไม่รู้ว่าตูไปที่ไหน เพราะเธอไม่เคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊กเลย กระทั่งผ่านไปร่วมสองเดือน จึงเห็นเธอโพสต์ภาพในชุดพรางและสะพายอาวุธปืน ไอ้พวกบ้าอำนาจทำให้พี่สาวเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ พวกเขาไม่รู้หรือว่าได้สร้างความเกลียดชังให้ผู้คนไปทุกหย่อมหญ้าเพียงเพราะว่าพวกเขาหลงใหลและหวงแหนในอำนาจที่ไม่มีอยู่จริง อำนาจที่ใช้อาวุธเป็นคำสั่งไม่เคยได้ใจผู้คน คำโพสต์เหนือภาพซึ่งมีแววตาเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของตูดุดันและมีพลัง “ฉันยอมพลีชีพเพื่อจะต่อสู้กับพวกมัน” จันหอมไม่รู้ว่าตอนนี้ตูซ่อนตัวอยู่ที่ไหน และกำลังคิดการใด ก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้เธออยู่รอดปลอดภัย

แล้วน้ำตาของเธอพลันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

หญิงสาววัยยี่สิบสองปาดน้ำตา แหงนมองฟ้ามืดดำ เสียงขับไล่กบยักษ์ชั่วร้ายยังดังไม่ขาด ผู้เป็นพ่อเหลียวมองเห็นอากัปกิริยาของลูกสาวแล้วเอ่ยถามด้วยเป็นห่วงในเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียว

“ยังปวดหัวอยู่อีกรึลูก” พ่อถามซ้ำ

“นิดหน่อยจ้ะพ่อ” หญิงสาวตอบแบบเลี่ยงๆ แต่ในใจคิดว่า เธอคงไม่หายปวดหัว ถ้าพวกนั้นยังครองอำนาจกดหัวชาวบ้านอยู่

“จันอาจจะเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้ แต่คงจำไม่ได้ หรือว่าลืมไปแล้ว” พ่อเหมือนอยากจะชวนลูกสาวที่ไม่เจอกันนานคุยเพื่อทบทวนเรื่องราวในอดีต

หญิงสาวครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว เธอไม่แน่ใจว่าเคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า อาจจะเคยเห็นคลับคล้ายคลับคลาแต่มันเลือนรางมาก

แต่แล้วอีกภาพหนึ่งที่ทำให้ปวดร้าวใจก็ผุดขึ้นมากลบทับ มันกระโจนออกมาจากภาพน่าเสร้าใจมากมายที่อัดแน่นอยู่ในหัวของนักศึกษาปีสุดท้าย ไม่รู้ว่าหากเธอเอามือล้วงเข้าไปในศีรษะแล้วหยิบมันออกมา จะหยิบออกมาได้หมดหรือไม่

ภาพนั้นเป็นภาพของวัยรุ่นหน้าใสถูกพวกใจยักษ์ใจมารฉุดกระชากลากถูไปโยนใส่รถบรรทุกคันใหญ่ที่มีชายถืออาวุธคบมือร่วมสิบคน มันเป็นภาพที่รวดร้าวใจ แต่นั่นยังไม่เลวร้ายเท่าภาพในวันรุ่งขึ้น พวกเขาถูกจับใส่รถบรรทุกมาโยนลงกลางถนนเหมือนหมูเหมือนหมา

“ซู” แทบไม่หลงเหลือภาพของเด็กสาวผมยาว หน้าใส หัวเราะง่าย เธออยู่ในสภาพที่แทบจำหน้าตาไม่ได้ ผมยาวสลวยถูกบั่นหั่นเป็นแว่นๆ พร้อมกับมีร่องรอยไฟไหม้ ใบหน้าแตกบวมปูดเลือดเกราะกรัง รอบดวงตากลมโตบวมเปล่งจนตาแทบปิด

ดูสิพวกมันทำได้กับดอกไม้ที่เพิ่งผลิบาน รุนแรงถึงเพียงนี้

“พวกมันช่างชั่วช้าจริงๆ” จันหอมตะโกนเดือดดาลจนปากสั่น “ไม่เป็นไรพี่ หนูยังสู้ต่อ” คำพูดของซูทำให้นักศึกษาสาวโอบรัดตัวเด็กมัธยมปลายไว้แน่น “พี่เสียใจ พี่เสียใจที่ช่วยเธอไม่ได้” สองคู่ตาสบกันน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย “พี่หนูยังไหว หนูยังสู้” เสียงของซูแหบพร่าขณะที่ร่างของเธอถูกยกขึ้นเปลไปยังรถพยาบาล ท่ามกลางเสียงสาปแช่งผู้ที่กระทำต่อเธออย่างโหดร้ายป่าเถื่อน

“ทำไมโลกใบนี้ช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน” หญิงสาวพึมพำน้ำตาคลอเบ้า

จันหอมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแม้แต่ในหมู่บ้านตีนดอยของเธอตอนนี้ก็ถูกคุกคามเช่นกัน ในการเดินทางจากเมืองกลับมาบ้าน เธอนั่งรถมาคันเดียวกับน้ำทิพย์ เพื่อนในหมู่บ้านน้ำลั่นซึ่งเรียนประถมด้วยกัน เพื่อนได้กระซิบบอกเรื่องราวน่ากังวลใจให้ฟัง เป็นความน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากคนในเผ่าพันธุ์เดียวกันกระทำต่อกัน พวกเขาถูกปั่นหัวให้ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเอง สร้างความทุกข์ร้อนและความหวาดกลัวมาถึงบ้านป่าเมืองไกล

“เธออย่าออกจากบ้านตอนกลางคืนเด็ดขาด ถ้าเธอไม่อยากถูกพวกมันจับตัวไปเป็นทหารหรือไปบำเรออารมณ์พวกมัน” แม่ค้าบ้านนอกที่เอาพืชผักพืชผลจากไร่ไปขายตลาดตั้งแต่เช้ามืดเตือนให้ระวังเภทภัยคุกคามในยามค่ำคืน

“สงสัยว่าเราจะหนีเสือปะจระเข้เสียแล้วกระมัง” หญิงสาวผู้เพิ่งกลับจากเมืองใหญ่พึมพำและทบทวนสิ่งที่เพื่อนสาวบอกอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ดูสิ ทำไมไอ้ภาพสุดแสนทรมานใจพวกนี้ผุดขึ้นมาอีกแล้ว”

จันหอมเอามือปิดตาไม่อยากเห็นภาพพวกนั้นอีก แต่ภาพเหล่านั้นกลับติดอยู่ในใจจนมิอาจลบออกไปได้ ภาพที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ภาพที่ทำให้เธอต้องซบหน้าร่ำไห้กับความอำมหิตที่มนุษย์กระทำต่อกัน หญิงสาวได้รู้ซึ้งว่าคนที่น่ากลัวที่สุดคือคนที่มีอำนาจอยู่ในมือ อำนาจปิดหูปิดตาให้มืดบอด อำนาจเข้าไปสิงในหัวใจจนเลือดอุ่นกลายเป็นเลือดเย็น พวกเขากลายเป็นคนชั่วช้า มองเห็นคนอื่นเหมือนวัตถุที่ไร้ค่า ไม่ใช่เป็นคนที่มีเลือดเนื้อจิตใจเหมือนพวกเขา

มันเป็นภาพรวดร้าวใจที่สุดในชีวิตของหญิงสาวที่ได้พบเห็น ชายหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีเด็กชายวัย 10 ขวบซึ่งมีแผลทั่วตัวจากการถูกไฟคลอก เขารีบเร่งจะเอาเด็กไปส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด แต่แล้วผีห่าซาตานจากนรกก็โผล่ออกมาพร้อมกับรถบรรทุก พุ่งชนรถมอเตอร์ไซค์แล้วลากไปตามถนนท่ามกลางเสียงหวีดร้องของผู้คนสองข้างทาง

บัดซบที่สุดแล้วที่มนุษย์กระทำต่อกัน มันพรากชีวิตคนรักของจันหอมไปต่อหน้าต่อตา จันหอมร่ำไห้จนทรุดลงฟุบลงไปกองกับพื้นถนน

 

แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเคาะไม้รัวๆ

“มีคนถูกจับ…มีคนถูกจับ…” เสียงตะโกนนั้นบอกต่อกันเป็นทอดๆ แล้วตามมาด้วยเสียงลากรั้วบ้านปิด มีเสียงลั่นดาลประตู แล้วไฟตามบ้านที่จุดกันไว้ก็ดับมืด เสียงคนเงียบหาย

จันหอมขยับตัวกำไฟฉายแน่น ทำท่าจะก้าวลงบันไดไปข้างล่าง เธออยากจะรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในหมู่บ้านของเธอ

“อย่าลงไปนะลูก” พ่อห้ามเสียงสั่น

“ทำไมล่ะพ่อ” หญิงสาวไม่เข้าใจ

“หนูแค่ลงไปดูเฉยๆ ว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า” ลูกสาวฉงนในคำห้ามปรามของพ่อ

“อย่าไปเลยลูก พ่อกลัว แม่ของเจ้าก็หายไปในคืนนี้ พ่อคงทนอยู่ต่อไปไม่ได้ หากลูกมาหายไปอีกคน” พ่อละล่ำละลัก

คำพูดของพ่อทำให้จันหอมชะงัก ตาเขม้นมองขึ้นไปบนผืนฟ้ามืดดำ ภาพของน้ำทิพย์ผุดขึ้นมา มันทำให้หญิงสาวต้องยกมือกุมศีรษะที่กำลังหนักอึ้ง “อย่านะ ไม่ใช่นะ ต้องไม่ใช่เธอนะ” เธอพูดได้แค่นี้รู้สึกว่าในกะโหลกศีรษะปวดรุนแรงเหมือนว่ามันกำลังจะแยกออกเป็นส่วนๆ

ขณะที่ท้องฟ้ายังคงมืดมิดไม่มีทีท่าว่ากบยักษ์ชั่วร้ายจะคลายเดือนออกมา จันหอมเชื่อว่ามีทางเดียวที่จะขจัดมารร้ายพวกนี้ได้คือการรวมพลังของผู้คนออกไปต่อสู้กับมัน พรุ่งนี้เธอจะคืนสู่เมืองอีกครั้ง •