ปิดคดีฆ่ามาเฟียอินเดีย สั่งจับ 2 มือปืนแคนาดา ชี้หลักฐานดีเอ็นเอมัด ประสาน ตร.สากลล่า!/อาชญา ข่าวสด

อาชญา ข่าวสด

 

ปิดคดีฆ่ามาเฟียอินเดีย

สั่งจับ 2 มือปืนแคนาดา

ชี้หลักฐานดีเอ็นเอมัด

ประสาน ตร.สากลล่า!

 

เป็นความคืบหน้าที่เกิดขึ้นจากการคลี่คลายคดีของตำรวจไทย สำหรับกรณีการสังหารโหดมาเฟียอินเดีย สัญชาติแคนาดา คาลานจอดรถวิลล่าหรูใน จ.ภูเก็ต

ซึ่งหลังจากสืบสวนสอบสวนทุกทาง ก็พบว่าเกิดจากความขัดแย้งระหว่างมาเฟียต่างชาติด้วยกัน โดยใช้ไทยเป็นสถานที่ลงมือก่อเหตุ

เมื่อลงมือเสร็จก็ใช้ช่องทางปกติ ขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลบหนีออกไปลอยนวล

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะจบแค่นี้ เพราะการลงมือของมืออาชีพในต่างแดนเช่นนี้ ทำคนเดียวไม่ได้แน่ ต้องมีทีมงานร่วมขบวนการอีกมาก

ในที่สุดก็เชื่อมโยงเหตุการณ์ พบอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุทิ้งไว้ พร้อมเร่งตรวจสอบเจ้าของปืนว่าเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร รวมทั้งพบจีพีเอสใต้ท้องรถ จนสามารถจับคนติดได้

นำมาซึ่งการระบุตัวตนของมือปืนทั้ง 2 อนุมัติหมายจับ และแม้จะออกนอกประเทศไปแล้วก็ติดต่ออินเตอร์โพลเพื่อออกหมายแดงล่าตัว

ให้รู้กันชัดๆ ว่าประเทศไทยไม่ใช่ที่จะมาก่อเหตุแล้วหนีลอยนวลได้ง่ายๆ

ออกหมายจับ 2 มือปืนแคนาดา

หลังการก่อเหตุหฤโหด เมื่อคืนวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ผ่านมา 8 วันคดีก็ชัดเจน โดยเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ศาลจังหวัดภูเก็ต อนุมัติหมายจับ 2 มือปืน ซึ่งก็คือ 1.นายแฌเนอ คาร์ล ลาร์คัมพ์ GENE KARL LAHRKAMP อายุ 36 ปี 2.นายแมทธิว เลอ็องดร์ โอวิด ดูเปร MATTHEW LEANDRE OVIDE DUPRE อายุ 36 ปี ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หรือเพื่อตระเตรียมการ หรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนอันสมควร และยิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน

หลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดักสังหารนายจิมมี่ ซิงห์ ซานดู หรือซิงห์ แมนดีพ (SINGH MANDEEP) ชาวต่างชาติ สัญชาติแคนาดา เชื้อสายอินเดีย ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตบริเวณหน้าวิลล่าริมหาด โรงแรมแห่งหนึ่ง บนถนนวิเศษ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์

ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากความขัดแย้งในแก๊งมาเฟีย การหักหลังด้านยาเสพติด โดยได้พยานหลักฐานชี้ตัวมือปืนได้ชัดเจน ทั้งจากดีเอ็นเอ และภาพจากกล้องวงจรปิด โดยจากการตรวจสอบพบว่า นายแฌเนอและนายแมทธิวเดินทางเข้ามาในไทย โดยถึงภูเก็ตเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2564

และหลังจากลงมือสังหารนายจิมมี่ ซิงห์ ในคืนวันที่ 4 กุมภาพันธ์แล้ว นายแฌเนอและนายแมทธิวเดินทางออกจากภูเก็ตไปยัง กทม. และเดินทางออกจากประเทศไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในตอนค่ำวันที่ 6 กุมภาพันธ์

โดยนายแฌเนอเดินทางไปยังแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี ส่วนนายแมทธิวแยกเดินทางไปยังอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์

สำหรับพยานหลักฐานที่ชี้ชัดจนนำมาสู่การออกหมายจับดังกล่าว มาจากปากคำของเพื่อนร่วมแก๊งที่ถูกจับกุมได้ ที่ทำหน้าที่ติดจีพีเอสที่รถเหยื่อสังหาร รวมทั้งจากหลักฐานอาวุธปืนที่ใช้ยิง ซึ่งคนร้ายนำไปทิ้งทะเล และตำรวจค้นเจอ เป็นปืนซีแซด ขนาด 9 ม.ม. และปืนวอลเธอร์ ขนาด 9 ม.ม.

รวมทั้งรถเช่าโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ ซึ่งของกลางเหล่านี้สามารถตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันตัวบุคคลได้

พร้อมประสานทางการแคนาดา เพื่อให้ติดตามจับกุมและนำตัวส่งให้ไทย และองค์การตำรวจสากล เพื่อออกหมายแดงในระบบขององค์การตำรวจสากล เพื่อประสานงานไปยังประเทศสมาชิก 194 ประเทศ เพื่อเฝ้าระวังและติดตามจับกุม 2 ชาวแคนาดาที่ถูกออกหมายจับต่อไป

ไม่ใช่จะมาก่อเหตุในไทยแล้วลอยนวลได้ง่ายๆ

‘ปืน-จีพีเอส-ดีเอ็นเอ’ มัด

ทั้งนี้ หลักฐานที่นำมาสู่หมายจับครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่การแกะรอยจากกล้องวงจรปิด ตั้งแต่นาทีก่อเหตุจนกระทั่งหลบหนี พบคนร้ายที่รูปร่างสูงใหญ่ สวมหมวกฮู้ดปิดบังใบหน้า คล้ายกับเป็นชาวต่างชาติ ขณะที่ตรวจสอบประวัติผู้ตายพบว่า จิมมี่เป็นสมาชิกของแก๊งยูไนเต็ด แก๊งอาชญากรรมระดับประเทศ และเคยก่อเหตุสังหารคนในแก๊งเรดสกอร์เปี้ยน ซึ่งเป็นแก๊งอาชญากรรมอีกกลุ่มเมื่อปี 2559 ต่อมาถูกทางการแคนาดาจับกุมได้ ภายหลังศาลยกฟ้อง และถูกเนรเทศออกจากแคนนาดา

และหลังจากเกิดเหตุ มีการโพสต์ลงโลกออนไลน์ของคู่อรินายจิมมี่ ซิงห์ ว่านายจิมมี่เสียชีวิตแล้ว ทั้งที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูล จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นการแก้แค้นขององค์กรอาชญากรข้ามชาติที่เข้ามาลงมือในประเทศไทย

และจากการตรวจสอบวงจรปิดพบ 2 ชายต้องสงสัยเดินลัดเลาะขึ้นมาจากชายหาดผ่านลานจอดรถมุ่งหน้าไปยังถนนสายหลักในช่วงเวลาประมาณสี่ทุ่ม และเป็นช่วงหลังมีการก่อเหตุฆาตกรรมไม่นาน

จึงตรวจสอบที่ชายหาดจนพบอาวุธปืน 2 กระบอกที่คาดว่าใช้ก่อเหตุ พบเป็นปืนยี่ห้อซีแซดและวอลเธอร์ เป็นของทหารยศจ่าสิบเอก อยู่ จ.สระบุรี และเป็นของ พ.ต.ท.ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว อยู่ จ.เชียงใหม่

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบอาวุธปืนของอดีตตำรวจพบว่าเป็นปืนที่สูญหายมานานกว่า 10 ปีแล้ว เนื่องจากข้าราชการตำรวจคนดังถูกขโมยปืนไป แต่ชุดสืบสวนจะเร่งติดตามความเชื่อมโยงหาเบาะแสผู้นำอาวุธปืนมาให้ โดยคาดว่าน่าจะนัดพบกันในที่พักโรงแรมทั้งใน จ.ภูเก็ต และกรุงเทพมหานคร อยู่ระหว่างติดตามหาเบาะแสของผู้ที่นำอาวุธปืนมาส่งมอบให้ผู้ก่อเหตุ

นอกจากนี้ ยังพบจีพีเอสที่ติดอยู่ในรถเอ็มจีของนายจิมมี่ ซิงห์ จึงขยายผลจนสามารถขออนุมัติหมายค้น เพื่อเข้าค้นบ้านเลขที่ 136/43 หมู่ 4 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต และล็อกตัวนายอีกอร์ ครูย์คอฟ อายุ 33 ปี สัญชาติรัสเซีย พร้อมของกลางยาเคตามีนจำนวนหนึ่ง

ซึ่งสอบสวนให้การเป็นประโยชน์ จนสามารถสาวไปถึงตัว 2 คนร้ายได้

อีกประเด็นสำคัญนั่นก็คือการเดินทางเข้าประเทศของนายจิมมี่ ซิงห์ ที่พบว่าก่อนเข้าไทยที่ภูเก็ต เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 โดยเครื่องบินส่วนบุคคลจากประเทศมาเลเซียนั้น ถูกปฏิเสธเข้าประเทศจากทางการมาเลเซีย แต่ทำไมถึงเข้ามาในประเทศไทยได้

ซึ่งก็มีรายงานแจ้งว่า ที่นายจิมมี่เข้าประเทศมาเลเซียไม่ได้เพราะเคยกระทำความผิดที่ประเทศดังกล่าว จึงนั่งเครื่องบินเดินทางมาลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต และสามารถเข้าประเทศไทยได้ ซึ่งที่ผ่านมาประเทศแคนาดาได้เปิดให้สามารถทำหนังสือเดินทางออนไลน์ ทำให้ตรวจสอบไม่พบประวัติทางอาชญากรรม ไม่มีเจ้าหน้าที่ ตม. หรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานใดของไทยเข้าไปเกี่ยวข้องแน่นอน

เป็นคำยืนยันจากตำรวจไทย

ย้อนเหตุซุ่มยิงถล่มมาเฟีย

สําหรับเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกวันที่ 4 กุมภาพันธ์ โดยที่เกิดเหตุเป็นโรงแรมและมีวิลล่าเป็นหลังๆ ติดชายหาดราไวย์ บริเวณลานจอดรถหน้าวิลล่า ตำรวจตรวจสอบพบศพชาวต่างชาตินอนหงายจมกองเลือดอยู่ที่พื้น ด้านหลังรถอเนกประสงค์ยี่ห้อเอ็มจี สีแดง ทะเบียนป้ายแดง ก 7221 ภูเก็ต

ที่พื้นพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 ม.ม. และขนาด .380 ตกอยู่เกลื่อนกลาดจำนวน 21 ปลอก ทราบชื่อผู้ตายคือนายซิงห์ แมนดีฟ อายุ 32 ปี สัญชาติแคนาดา มีบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืนทั่วทั้งร่างกายนับสิบนัด

สอบสวนทราบว่าเวลาประมาณ 22.30 น. ผู้ตายขับรถเก๋งอเนกประสงค์ ยี่ห้อเอ็มจี สีแดง ทะเบียนป้ายแดง ก 7221 ภูเก็ต เข้ามาจอดที่บริเวณหน้าวิลล่าดังกล่าว จังหวะที่ผู้ตายเดินลงมาจากรถเพื่อเข้าไปในวิลล่าที่พัก

มีคนร้ายเป็นชาย 2 คนใช้ผ้าโพกหัวปิดบังใบหน้า กระโดดออกมาจากพุ่มไม้ข้างที่จอดรถ ใช้อาวุธปืนบุกจ่อยิงไปที่ผู้ตาย ระยะเผาขนจำนวนหลายสิบนัด จนนายซิงห์ล้มลงและเสียชีวิตดังกล่าว จากนั้นหนึ่งในคนร้ายก็ยังก้มลงหยิบสิ่งของบางอย่างที่ข้างผู้ตายไปด้วย ก่อนจะวิ่งหลบหนีกลับไปทางเดิมที่มา

คาดว่าคนร้ายน่าจะรู้ความเคลื่อนไหวของผู้ตายเป็นอย่างดี รวมทั้งรู้ว่าพักอยู่ที่วิลล่าดังกล่าว จึงมาดักซุ่มรอ เมื่อผู้ตายมาถึงแล้วจอดรถ จึงออกมาลงมือกระหน่ำยิงไม่ยั้ง แถมยังจ่อยิงซ้ำอีก

ตรวจสอบภายในวิลล่าหรูที่เป็นที่พักของนายซิงห์ พบพาสปอร์ต 2 เล่ม ตู้เซฟ 2 ตู้ ในตู้เซฟใบหนึ่งมีเงินสด 7 แสนบาท และกัญชาอีก 2 ถุงเล็ก

จึงสันนิษฐานได้ว่าคนร้ายเป็นมือปืนอาชีพ มุ่งหวังเอาชีวิตอย่างเดียวโดยไม่ยุ่งกับทรัพย์สิน ถือเป็นการลงมือที่อุกฉกจรรจ์ ปฏิบัติการไล่ล่าคนร้ายจึงต้องเร่งดำเนินการ

และสามารถคลี่คลายได้เพียง 8 วัน

ไม่ให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของการทำผิดกฎหมายของอาชญากรข้ามชาติเด็ดขาด!!