การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ อีกครั้ง ดังปลาแถกเหงือกเถลือกไถล

“อีพี่! มึงมันชาติวอกชาติหมา!”

เสียงของพี่โฟชัดๆ…พี่สาวร่วมพ่อ ที่กำลังสะอื้นไปพลาง ด่าฉันไปพลาง และสักพักก็ได้ยินเสียงสั่งขี้มูกเต็มแรง

“มึงมันเกิดมาสร้างแต่เรื่องเดือดร้อนให้คนอื่น…อีพ่ออีแม่จะว่ายังไง! น้องคนหนึ่งกูก็ปกป้องไม่ได้ มึงมันดีแต่จะหาเรื่องใส่ตัว!”

“พอเถอะโฟ พูดไปจะได้อะไรขึ้นมา”

อีกเสียง…

เหมือนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ รับรู้เพียงว่ามีคนรีบเข้ามาเช็ดของสกปรกออกจากตัว มีมือช้อนหัว ประคองยกขึ้นยกลง จนกระทั่ง…ฉันรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหายใจได้สะดวกขึ้น

“น้อง…” เสียงเรียกใกล้

กะพริบตา ใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น

พี่ฝนกำลังจ้องมองฉันอยู่

“เป็นยังไงละมึง!”

ฉันตัวแข็งทื่อ เมื่ออีกร่างหนึ่งเดินจากมุมห้องเข้ามานั่งลงข้างๆ

…อ้ายหมารอย!

ภาพแผงอกกับใบหน้าในแสงสลัวริมฝั่งวูบเข้ามา เป็นอ้ายหมารอยจริงๆ…เป็นมันจริงๆ ด้วย

 

“ค่อยๆ ลุก”

พี่ฝนเข้ามาประคองซ้อนหลัง ยกตัวฉันขึ้นอย่างระมัดระวัง พลางเสือกหมอนเข้ามาให้พิง

ฉันเกือบลืมไปแล้วว่ายังมีคนคนนี้อยู่ในโลกใบนี้ด้วย

ความรู้สึกบางอย่างทำให้ไม่อยากจะสบตา พูดก็ได้ว่าฉันอับอายในสภาพตัวเอง

“ไม่เป็นไรแล้วนะ มาอยู่ด้วยกันแล้ว”

น้ำเสียงนุ่มนวล มือยื่นเข้ามาจับข้อแขน

รู้สึกได้ในทันทีนั้นว่าพี่โฟกำลังเพ่งตา แต่ไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืนอะไร ที่ยังสงสัยอยู่ก็คือ นี่ฉันตายแล้วหรือยัง

หากเป็นนรก ทำไมทุกๆ คนจึงมาอยู่กันพร้อมหน้า

“…ที่นี่ที่ไหน” เปล่งเสียงออกไป แต่เหมือนไม่ใช่เสียงฉันเลย

“ห้องกูสิ” พี่โฟสวนคำขึ้นมาทันที แล้วยกมือพรวดขึ้น

“มึงเห็นกี่นิ้ว”

“อะไรของมึง โฟ”

“มึงอย่ายุ่งอีฝน! ให้มันตอบ”

ฉันมองดูมือขาวๆ อวบๆ ข้างหน้า มือพี่โฟดูหยาบกร้านกว่าที่เคยเห็นมาก่อน พอไล่สายตาขึ้นไปก็เห็นใบหน้าเปื้อนเหงื่อซก มีสีฟ้าๆ เขียวๆ เลอะรอบขอบตา เหมือนกำลังจะแต่งหน้าแต่โดนสาดน้ำเสียก่อน

“บอกสิอีพี่! มันเห็นมีกี่นิ้ว”

“ห้า” ฉันขยับปาก

“ถูก! แล้วข้างนี้ล่ะ” พี่โฟเปลี่ยนมือ

“สาม”

“เออ! สมองมึงยังดีอยู่!”

พลันร่างอวบก็ถลันเข้ามากอด พี่โฟแผดเสียงไห้เข้าเต็มหู

“มึงดีแล้ว! มึงอยู่กับกูแล้ว! อีพี่ อีชาติหมา!”

 

อย่างช้าๆ ที่ฉันค่อยๆ พบว่าตัวเองไม่ได้ฝัน และฉันยังไม่ตาย ร่างกายที่บอบช้ำถูกนำมาถึงห้องของพี่โฟ อ้ายหมารอยพาฉันมา พี่ฝนเป็นคนเปิดประตูรับหน้า และพี่โฟก็โวยวายร้องห่มร้องไห้ว่าจะไปแจ้งความ

สภาพที่พวกเขาเห็นฉัน คือคนสิ้นไร้ไม้ตอก แขนเข้าเฝือกหนึ่งข้าง ปราศจากรองเท้า เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนดินทราย ผมเผ้ายุ่งเหยิงแทบดูไม่ได้ ซ้ำเลือดไหลย้อยหว่างขา

อีกครั้งที่ประจำเดือนฉันมา อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ระหว่างหมดสติอยู่ ก็เป็นพี่ฝนที่นุ่งกางเกงในใส่โกเต๊กให้

จากวันที่เลือด_ีไหลในห้องซอมซ่อ ดั่งเดินวนย้อนกลับมาที่เก่า

ฉันยังคงตื่นขึ้นในร่างเน่าๆ ของตัวเอง

“เป็นไง อีพี่”

ร่างสูงใหญ่หย่อนตัวลงนั่งข้างสะลี

…นี่อ้ายหมารอยตัวโตขึ้นผิดธรรมดา หรือเพราะว่าฉันตัวหดเล็กลงกันแน่ จากที่เคยอายุไล่เลี่ยกัน บัดนี้ เหมือนมีอ้ายรอยอีกร่าง

ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า…

“มึงยังไม่ตายหรือ” เปล่งเสียงออกไป

“อีวอก!” มะเหงกทำท่าจะซัดเข้ากลางกระหม่อม นั่นทำให้ฉันแน่ใจได้ว่า ที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือญาติผู้พี่จริงๆ

นี่เราจากกันมานานเท่าไหร่

“มึงต่างหาก ไปทำอะไรอยู่แถวนั้น กูนึกว่าผีหลอกเข้าให้แล้ว”

ฉันกลืนน้ำลายลงคอ…รู้สึกว่าคอยังแห้งผาก

“แต่มึงไม่ต้องกลัวแล้วนะ” เสียงเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล “กูพามึงมาหาพี่มึงแล้ว”

“มึงรู้ที่อยู่พี่โฟได้ยังไง…”

“ทำไมจะไม่รู้เล่า” เสียงพี่โฟแทรก หิ้วของพะรุงพะรังเข้าประตูห้องมา “มันมาตามถามหามึงหลายหนแล้ว”

อ้ายหมารอยนะหรือ มาตามถามหาฉัน

เบือนหน้าไปมอง ยังมีหน้ายักคิ้วใส่…ชั่วขณะ ก็เหมือนเป็นคนเดิมที่เคยร่วมเล่นเป็นเพื่อนกันมา

“เอาน่า มึงไม่ต้องรีบรู้เรื่องพระเอก หายดีเมื่อไหร่กูจะรีบเล่าให้ฟัง”

“ชาติหมา” ฉันอยากด่าให้ดังกว่านั้น

หมารอยหัวเราะ

ยังมีคนหัวเราะให้กับฉัน แม้ยามที่คำด่ากันและกันปลิวว่อน และฉันได้แต่นอนแน่นิ่งบนสะลีน่วมๆ ผืนหนึ่ง

 

วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในขณะที่พี่โฟบ่นตลอดเวลาว่า ทำอะไรแทบไม่ทัน เดี๋ยวแจ้ง เดี๋ยวค่ำ

ฉันเพิ่งสังเกตว่าพี่สาวร่วมพ่ออวบอ้วนขึ้นมากกว่าธรรมดา และที่ที่มาพักอาศัย ไม่ใช่ห้องเดิมในโรงงานอีกต่อไปแล้ว เป็นเรือนแถวในซอยซอยหนึ่ง ซึ่งฉันยังไม่รู้ว่าคือทิศทางใด

พี่ฝนย้ายตามมาอยู่ห้องข้างๆ ด้วย ความว่าทั้งคู่ออกจากงานที่เก่าแล้ว

อ้ายหมารอยบังเอิญพบฉัน ในค่ำคืนนั้น ดั่งการเล่นกลของโชคชะตา ขณะที่ฉันพยายามจะหนีจากทุกคนไป ด้วยวิธีใดก็ได้ อ้ายหมารอยกลับเพิ่งหวนคืนเชียงใหม่มา

“กูมีคดีติดตัว” คำพูดสั้นๆ กระซิบใส่หู เท่านั้นฉันก็รู้ว่าไม่ควรถามมากอีกต่อไป

“กูไม่ได้บอกใครหรอก พูดกับมึงเท่านั้น”

เช่นนั้น…การที่รอยจะออกจากห้องไปแต่เช้ามืด กลับมาเมื่อดึกดื่น ดูระมัดระวังตัว เหลือบแลระวังระไว ก่อนจะเหยียดตัวลงนอนพื้น เฝ้าฉันทุกคืน ก็เพียงพอที่จะไม่เอ่ยอะไรออกไป

เมื่อพี่โฟบอกว่าต้องไปแจ้งความ ฉันก็พยายามบ่ายเบี่ยงทุกครั้ง

 

“อีพี่!” พี่โฟหายใจแรงๆ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งแปะกับพื้น

ฉันกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงฝา ตามองจิ้งจกสองตัวที่กำลังไล่งับแมลง

“มึงบอกกับกูมาตามตรงเถอะ พวกมันเป็นใคร…มึงโดนเม็กมารึ”

เม็ก…อย่างเดียวกับคำว่า ข่มขืน

“มึงบอกกูมาเร็วๆ จะได้เอาตำหนวดไปลากคอมันมารับโทษ ไม่งั้นอย่างน้อยๆ ก็ต้องเสียผีเสียไหม มึงจะตาน_ีให้มันฟรีๆ ทำไม แล้วยาคุมที่ซื้อมาให้ กินบ้างหรือยัง”

“ไม่ต้องกินหรอก”

“ทำไมเล่า! มึงต้องกินนะอีพี่! อ้อ! หรือเห็นว่ามีประจำเดือนพอดี”

ฉันไม่ตอบ

“มึงก็เป็นเสียหยั่งนี้!” เสียงพี่โฟหงุดหงิดขึ้นมา “กูรึห่วงแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายมึงก็นิสัยสันดานอย่างเก่า!”

ก้อนจุกอย่างหนึ่งไหลขึ้นมาในอกอีกคราว

ฉันไม่ได้คิดว่า จะต้องกลับมาอยู่ในจุดนี้

“แล้วพี่ล่ะ ทำไมออกมาจากงานเก่า เฮียเขาไม่ว่าหรือ” เป็นฝ่ายถามออกไปบ้าง

พี่โฟกลับนิ่งไป ฉันสังหรณ์ใจอะไรสักอย่างขึ้นมา…

“ไม่ว่าหรอก มันบอกให้กูมาอยู่ข้างนอกเอง”

“…ทำไม”

“ให้กูเกิดลูกเสียก่อน”

 

พี่โฟกำลังตั้งท้อง และท้องก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วในตอนนี้ ก่อนที่จะความแดงออกมา เจ้าของโรงงานนั่นเองรีบหาที่อยู่ใหม่ให้

“ตามจริงเฮียให้ไปเอาเด็กออก แต่มันสายเกินไป”

“สายยังไง…”

“เขาคลำเจอเนื้องอกในมดลูกกู มันเลยว่าไม่ทำให้ กลัวเกิดกูตกเลือดตาย มันจะเดือดร้อน”

ฉันไม่รู้จะพูดอะไร

“กูกินยาขับหลายหนแล้ว แต่หัวแข็งแท้แข็งว่า ยังกะว่าจะมาเกิดให้ได้ เฮียเลยฟั่งให้กูออกมา”

“…แล้วพี่ฝนล่ะ”

“อีฝนมันดีกับกูนัก อีพี่เหย พอรู้ว่ากูจะต้องออกมาอยู่คนเดียว มันก็ขอตามมา เฮียเลยให้ค่าจ้างมันเป็นพิเศษ จะได้ช่วยกันปิดเป็นความลับ นี่เขาให้รถปิกอัพไว้คันหนึ่ง”

“เมียเขาไม่สงสัยหรือ”

“ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ถ้าไม่มีใครไปแส่บอกมัน”

 

หนึ่งคือคนทุพพลภาพกระดูกข้อมือหัก ยังไม่รู้เมื่อไหร่จะหาย อีกหนึ่งเป็นผู้หญิงที่ท้องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีผัว อีกคนเป็นผู้ร้ายหนีโทษคดีอะไรสักอย่าง นอกจากพี่ฝนแล้ว ฉันนึกไม่ออกเลยว่าใครจะดีไปกว่าใคร

และในสภาพที่มาตกคลั่กร่วมกัน…อีกครั้ง ดังปลาแถกเหงือกเถลือกไถล ในแอ่งน้ำข้างถนนพอให้หายใจ มองไปทางไหนก็ไม่ต่างเลยจากที่เคยผ่านมา

เราจะอยู่กันไปเพื่ออะไรหรือ