25 น. : อนุสรณ์ ติปยานนท์

25 น. (1)

หากจะมีสถานที่ใดในโลกที่เงียบเหงาแบบไร้กาลเวลา ผมคงนึกถึงสถานีรถประจำทางระหว่างจังหวัดหลัง 24 นาฬิกา

คุณไปถึงที่นั่นตอนที่รถเที่ยวสุดท้ายได้ผละจากไปแล้ว และรถเที่ยวแรกยังอีกหลายชั่วโมงกว่าจะมาถึง

นั่งลงตรงนั้น นิ่ง เงียบ ไม่มีผู้คนที่รอรถโดยสารอีกต่อไป

มีแต่เหยื่อแห่งความเหงา

คนไร้บ้านที่อาศัยสถานีแห่งนั้นเป็นที่นอน

คนขับรถรับจ้างที่เฝ้าภาวนาว่าจะมีใครสักคนมาเรียกใช้บริการของเขา (ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่มีอะไรเช่นนั้นเกิดขึ้น)

พนักงานเฝ้าสถานีซึ่งหลับใหลอยู่ตลอดเวลา

มันเป็นสถานที่ที่ยังมีผู้คน แต่ผู้คนเหล่านั้นล้วนติดอยู่ในชะตากรรมที่เข็มนาฬิกาไม่ก้าวเดิน

ผมเคยไปยังสถานที่แห่งนั้นสองครั้ง

ครั้งแรกเป็นฤดูหนาวที่โคโม่-Como เมืองชายแดนสุดเมืองหนึ่งทางตอนเหนือของอิตาลี ผมต้องการต่อรถไปยังเบลลาจิโอ-Bellagio เมืองนอกเส้นทางอีกเมือง แต่ผมไปถึงสถานีแห่งนั้นสายเกินไป รถเที่ยวสุดท้ายของสถานีออกไปแล้วตอนสี่ทุ่ม และจะมีรถคันใหม่มาถึงจนกว่าจะถึงเวลาหกนาฬิกาของวันต่อไป

แปดชั่วโมงที่ผมต้องอยู่ที่นั่น มีทางเลือกอยู่สามทาง

ทางเลือกที่หนึ่งคือแบกกระเป๋าเดินทางกลับไปยังยูธ โฮสเทล ที่ผมพักอยู่ในคืนก่อน

แต่ในเวลาแบบนั้น ยูธ โฮสเทลคงปิดทำการแล้ว หิมะที่ตกมาโปรยปรายตั้งแต่ตอนบ่ายคงไล่ทุกคนกลับสู่เตียงตั้งแต่หัวค่ำ

พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วตั้งแต่สี่โมงเย็น และแม้ชาวอิตาเลียนจะได้ชื่อว่าทานอาหารค่ำดึกที่สุดชนชาติหนึ่ง แต่คงไม่มีใครตื่นอยู่อีกแล้วในเวลานี้

ทางเลือกที่สองคือตัดสินใจเข้าพักโรงแรมสักแห่ง แต่โคโม่เป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ ทะเลสาบกลางเมืองนั้นได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่งดงามที่สุดในดินแดนแห่งนี้ มันแย่งตำแหน่งกับทะเลสาบที่ลูเซิร์นอยู่บ่อยครั้ง

ด้วยเหตุนี้พ้นจากยูธ โฮสเทลแล้วโรงแรมทั่วไปต้องจองล่วงหน้าและมีราคาสูงลิ่ว วิวที่มองเห็นทะเลสาบสำหรับห้องหนึ่งในโรงแรมเหล่านั้นเริ่มต้นที่ราคาหนึ่งหมื่นบาทต่อคืน

ผมนับเงินที่มีติดตัวแล้ว แค่คิดจะไปนั่งเล่นในล็อบบี้โรงแรมเหล่านั้นก็ดูจะเกินฝันไปเสียแล้ว

ทางเลือกสุดท้ายคือการนอนลงที่นี่ มีม้านั่งยาวที่ผ่านการใช้งานมานับศตวรรษอยู่หลายตัว

คุณอาจเลือกใช้มันแทนเตียงได้ตามใจชอบ

ทว่า ปัญหาสำคัญคือที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ ขอนแก่น กระบี่ วังเวียง หรือแม้แต่พระตะบอง ที่อุณหภูมิต่ำสุดไม่เคยพ้นยี่สิบองศา

เทอร์โมมิเตอร์ที่ติดตั้งข้างนาฬิกาในสถานีบ่งบอกระดับอุณหภูมิที่สิบสามองศา และคงต่ำกว่านี้อีกเมื่อเวลาเดินหน้าไป เสื้อโค้ต เสื้อสเวตเตอร์ เสื้อเชิ้ต เสื้อยืดด้านใน กางเกงลองจอห์น กางเกงขายาว ถูกผมใช้จนครบถ้วน แต่นั่นก็คงใช้ประทังความหนาวได้ชั่วคราว ไม่ใช่สำหรับการผจญภัยผ่านคืนนี้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม ผมตัดสินใจเผชิญหน้ามันด้วยการโยนกระเป๋าเดินทางลงที่มุมหนึ่งของอาคาร ซุกตัวลงตรงนั้นและพยายามหลับตา

ไม่ได้ผล สามสิบนาทีผ่านไปความเย็นแทรกเข้ามาทุกจุดของร่างกาย และถ้าเกินไปถึงหกสิบนาที ความเย็นคงเลยเถิดเข้าไปในตัวเป็นแน่

ข่าวนักเดินทางป่วยจนโคม่าคาสถานีรถประจำทางคงเป็นข่าวใหญ่พอควรในเมืองเล็กๆ แห่งนี้

แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาที่ผมควรจะเป็นหัวข้อข่าวของเขา

ผมลุกออกจากมุม หันซ้ายและหันขวา มีสองสิ่งที่จะทำให้อบอุ่นได้จนถึงเช้า สิ่งแรกคือการเคลื่อนไหวร่างกาย

สิ่งที่สองคือแอลกอฮอลล์

ผมเดินออกจากสถานีตรงไปยังบาร์แห่งหนึ่งที่ยังเปิดอยู่ เมื่อถึงเคาน์เตอร์บาร์ผมสั่งเหล้าวอดก้าหนึ่งแก้ว

ประสบการณ์การอ่านหนังสือ นายแพทย์ชิวาโก้ ของ บอริส ปาสเตอแน็ก เริ่มทำงาน หากเขาสามารถสู้กับความหนาวเย็นที่ไซบีเรียได้ด้วยวอดก้า ผมก็ควรทำเช่นนั้นได้เช่นกัน

เหล้าแก้วแรกหมดลง ผมอบอุ่นขึ้น แต่เมื่อจะสั่งเหล้าแก้วที่สอง สัญญาณการปิดร้านก็มาถึง ผู้คนทยอยออกจากร้าน ทุกคนมุ่งหน้ากลับบ้าน

มีแต่ผมคนเดียวที่ยืนจังงังอยู่หน้าบาร์

ไม่เป็นไร ผมบอกตนเองอย่างน้อยเรารู้วิธีสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายได้แล้ว

ผมเดินไปที่ร้านขายของชำในเมือง โชคดีที่มันยังเปิดอยู่

ผมซื้อเหล้าวอดก้าหนึ่งขวดแล้วเอามันใส่กระเป๋าเดินทาง เครื่องมือที่ทรงพลานุภาพที่สุดสำหรับการต่อสู้กับความหนาวเย็นอยู่กับตัวแล้ว

ขั้นตอนต่อไปคือการหาสถานที่ออกกำลังกาย อีกเจ็ดชั่วโมงเท่านั้น ไม่นานสำหรับคนที่มีเตียงอ่อนนุ่มแต่ยังยาวนานมากสำหรับคนที่ติดอยู่บนท้องถนน สนามกีฬาดีไหม น่าจะปิดแล้ว สวนสาธารณะ น่าจะปิดแล้วเช่นกัน

มีที่ใดบ้างที่ยังหลงเหลือที่ทางให้ได้ขยับตัวจนถึงรุ่งสาง

ทะเลสาบ และแล้วผมก็นึกถึงทะเลสาบ กลางดึกเช่นนี้ทะลสาบยังคงเหมือนเดิม มันไม่เคยปิด

ผมเดินมุ่งหน้ากลับไปที่ทะเลสาบ ท้องฟ้ามืด แต่ยังเห็นระลอกคลื่นในทะเลสาบได้ชัดเจน ผมเลือกเก้าอี้นั่งริมทะเลตัวหนึ่งเป็นที่นั่ง เปิดวอดก้าขึ้นและจิบมัน

ความอบอุ่นในตัวที่เพิ่มขึ้นทำให้ผมเชื่อว่าจะผ่านคืนนี้ไปได้

ทว่า ลมจากทะเลสาบก็ให้ความหนาวเย็นที่น่ากลัว ทางแก้คือผมออกเดินไปรอบทะเลสาบ รอบแล้วรอบเล่า รอบที่หนึ่ง รอบที่สอง

การเดินสลับกับการจิบวอดก้าให้ประสบการณ์ที่น่าสนใจ ผมมองดูแสงไฟที่ลอดออกจากบ้านเรือนแต่ละหลัง บางบ้านยังส่องสว่าง บางบ้านไฟดับสนิทลงแล้ว ชีวิตมนุษย์เป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมานับพันปี เราทำงานในเวลากลางวันและพักผ่อนในเวลากลางคืน และควรเป็นเช่นนั้นเสมอ

มีแต่ผมเองที่กลับหัวกลับหางบางสิ่งในวันนี้

ผมเดินวนรอบทะเลสาบอย่างเพลิดเพลินก่อนจะค้นพบศัตรูตัวใหม่อันได้แก่ความง่วงนั่นเอง

เหล้าอาจทำให้เราอบอุ่นได้ก็จริง แต่เหล้าไม่ใช่กาแฟที่จะปลุกให้เราตื่นตลอดเวลา

เหล้าทำให้หนังตาของเราหนักและปรารถนาการนอน

และเมื่อนอนนั่นหมายถึงเราจะจิบเหล้าไม่ได้อีกต่อไป เราจะขยับร่างกายไม่ได้อีกต่อไป

การนอนคือการเปิดโอกาสให้ความหนาวเย็นเล่นงานเรา

แต่การไม่นอนทำให้เราอ่อนล้าลงอย่างรวดเร็วด้วย

ผมตัดสินใจพบกันครึ่งทาง ผมหยิบนาฬิกาตั้งโต๊ะขนาดเล็กที่พกอยู่ในกระเป๋าเดินทางมาตั้งเวลาปลุก ผมจะนอนเพียงหนึ่งชั่วโมงแล้วตื่นมาเดินต่อ

หลังจากนั้นผมจะนอนอีกหนึ่งชั่วโมงแล้วตื่นมาเดินต่อ

ทำเช่นนี้สักสามครั้งก็น่าจะได้เวลารุ่งสาง

ผมเอากระเป๋าเดินทางแนบกับด้านหนึ่งของเก้าอี้ยาง เอาหัวหนุนมันแล้วเหยียดตัวยาวก่อนจะหลับใหลลง

สิ่งที่ปลุกผมในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ไม่ใช่เสียงจากนาฬิกา แต่เป็นมือของชายคนหนึ่ง ผมลืมตาขึ้นแลเห็นใบหน้าของเขา และเห็นเครื่องแบบของเขา ตำรวจประจำเมืองหรือโปลิเซียในชุดสีน้ำเงินกำลังมองดูผมด้วยความประหลาดใจ

เขาถามผมว่าผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่

ผมบอกเขาว่าผมกำลังรอรถโดยสารไปเบลลาจิโอในช่วงเช้า

เขาขอดูหนังสือเดินทางของผม ผมยื่นหนังสือเดินทางของผมให้เขา คุณจะหนาวตายที่นี่ เขาบอก ผมรู้ ผมบอกเขา ผมตั้งนาฬิกาปลุกทุกหนึ่งชั่วโมงเพื่อออกเดิน เขาส่ายหัว มันไม่ได้ผลหรอก เคยมีคนคิดเช่นนั้นแล้วหนาวตายไปเมื่อปีกลาย

คุณไปหลบหนาวที่สถานีของเราดีกว่า

ผมเดินตามตำรวจนายนั้นไปที่รถของเขา รถตำรวจติดเครื่องอยู่ตลอดเวลา ภายในรถมีตำรวจอีกนายที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย

ผมนั่งลงที่ด้านหลังของรถ ข้างในอุ่นกว่าข้างนอกมาก และเมื่อถึงสถานีที่อยู่ออกไปไม่ไกลนัก ความอบอุ่นก็เพิ่มขึ้นอีก

ตำรวจนายที่ปลุกผมชี้เก้าอี้ยาวในห้องด้านหน้าให้ผมใช้เป็นที่นั่งพักผ่อน

หลังจากนั้นเขาชงกาแฟให้ผมหนึ่งแก้วและหยิบผ้าห่มมาให้ผมด้วย

เปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่ผ่านมาในคืนนี้ ที่นี่นับว่าเป็นสรวงสวรรค์โดยแท้

ผมดื่มกาแฟจนหมดแก้ว วางกระเป๋าเดินทางลง กระชับผ้าห่มแล้วหลับตา

ตำรวจนายนั้นบอกว่าหลับสักพัก ผมจะเขียนบอกเจ้าหน้าที่ที่เข้าเวรพรุ่งนี้เช้าให้ปลุกคุณเอง

นี่เป็นเมืองท่องเที่ยว และเราต้อนรับคนแบบคุณมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

ไม่มีตำรวจคนไหนปลุกผม หากแต่เป็นเสียงไซเรนจากด้านนอกสถานีในยามเช้า

หิมะที่ตกมาอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนอกเมือง

รถตำรวจสตาร์ตเครื่องและแล่นออกไปจากสถานี ตำรวจอีกนายที่สถานีบอกว่าสถานการณ์ไม่น่าเลวร้าย หิมะยังตกอยู่ แต่คุณสามารถเดินฝ่าไปสถานีรถโดยสารได้หากต้องการ

อีกครึ่งชั่วโมงรถยนต์เที่ยวแรกน่าจะมาถึง คุณจะรับกาแฟอีกไหม ตำรวจนายนั้นพูดกับผม

เขาเป็นชาวอิตาเลียนโดยแท้จริงที่จะคิดถึงกาแฟก่อนทุกอย่างในยามมีปัญหา

ผมทานกาแฟอีกแก้วเป็นเพื่อนเขาในยามเช้าก่อนจะบอกขอบคุณและเดินออกจากสถานีตำรวจนั้นมา

ท้องฟ้าข้างนอกยังมืด วอดก้าในกระเป๋าเดินทางยังเหลืออีกเกือบเต็มขวด อากาศเริ่มอบอุ่นแล้ว ผมกลับมาที่สถานีรถโดยสารประจำทางอีกครั้ง

ผ่านไปกว่าเจ็ดชั่วโมงหลังจากผมจากมันไป พนักงานขายตั๋วเข้าประจำที่ของเขาแล้ว ทุกอย่างแลดูเป็นปกติ

แตกต่างจากความโหดร้ายของอากาศเมื่อคืน ผมพลัดหลงไปที่ไหนมา

ผมถามตัวเอง ไม่ใช่เวลา 24 น. หลังเที่ยงคืนแน่ มันน่าจะเป็นเวลาที่ไม่มีนิยาม มันน่าจะเป็นเวลาที่ไม่เคยมีปรากฏบนหน้าปัดนาฬิกา

-มันน่าจะเป็นเวลา 25 น. ที่ผมพลัดหลงเข้าไปเเน่นอน-