ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 สิงหาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | รักคนอ่าน |
เผยแพร่ |
วันที่ 12 สิงหาคม 1988 หลังจากจบงานรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่อง The Last Temptation of Christ (1988) ที่ทั้งอื้อฉาว และเป็นที่ถกเถียงกันในยุคนั้น
มาร์ติน สกอร์เซซี ผู้กำกับฯ ของเรื่องได้ไปร่วมดินเนอร์กับคนกลุ่มใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยบุคคลระดับสูงผู้เกี่ยวข้องกับหนัง
และหนึ่งในนั้นคือท่านบิชอป พอล มัวร์ จากนิวยอร์กซึ่งได้แนะนำให้เขาอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง
แล้ววันต่อมาเขาก็ได้รับหนังสือชื่อ Silence งานเขียนของ ชูซาเกะ เอ็นโดะ ซึ่งพูดถึงความขัดแย้งทางศรัทธาที่เกิดขึ้นจริงในประเทศญี่ปุ่น
และในปีต่อมาเขาได้โอกาสเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อร่วมเล่นหนังของยอดผู้กำกับฯ อากิระ คุโรซาว่า เรื่อง Dreams (1990) เขาจึงนำหนังสือเล่มนี้ติดตัวไปด้วย
ขณะนั่งอ่านมันอย่างตั้งใจอยู่ในรถไฟหัวกระสุน เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองและโรดริเกส ตัวละครเอกของเรื่องนั้นมีบางอย่างคล้ายกัน
และในทันใดเขาก็รู้ทันทีว่านี่คือหนังที่เขาอยากทำ
Silence เป็นโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ของ มาร์ติน สกอร์เซซี ที่ใช้เวลาเกือบ 30 ปีในการพัฒนาจนสำเร็จ
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากหนังสือนวนิยายในชื่อเดียวกันของนักเขียนชาวญี่ปุ่น ชูซากุ เอ็นโดะ เรื่องราวดำเนินอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 17 ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการกวาดล้างผู้นับถือศาสนาคริสต์อย่างโหดร้ายและจริงจัง
มีการจับชาวคริสต์และบาทหลวงไปทรมานด้วยวิธีต่างๆ และบีบบังคับให้กระทำการดูหมิ่นศาสนาต่อหน้าสาธารณะเพื่อเป็นการประกาศตนออกจากศาสนา
บาทหลวงเฟอร์เรร่า (เลียม นีสัน) เป็นบาทหลวงโปรตุเกสที่กำลังเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่นช่วงเวลานั้นพอดีและมีข่าวลือไปถึงศาสนจักรที่โปรตุเกสว่าท่านได้ประกาศตน เลิกนับถือศาสนาคริสต์แล้ว
แต่บาทหลวงโรดริเกซ (แอนดรูว์ การ์ฟิลด์) และบาทหลวงการูเป้ (อดัม ไดรเวอร์) ผู้เป็นลูกศิษย์ไม่ปักใจเชื่อ
ทั้งสองจึงขออนุญาตปฏิบัติภารกิจตามหาตัวคุณพ่อเฟอร์เรร่าและสานต่องานเผยแผ่ศาสนาที่ญี่ปุ่นต่อไป
สองบาทหลวงหนุ่มต้องเผชิญความยากลำบากมากมายในระหว่างปฏิบัติภารกิจนี้ ต้องเจอกับบทพิสูจน์ความศรัทธาจากผู้ที่ต้องการกำจัดศาสนาคริสต์ออกไปด้วย
และแม้แต่ผู้รับเชื่อไปแล้ว ก็ยังมีข้อคำถามรบกวนจิตใจบาทหลวงทั้งสอง
ฉันนั่งดูภาพยนตร์เรื่องนี้โดยคิดถึงคนคนหนึ่งอยู่ตลอด
ผู้เผยแพร่ความเชื่อของตนเองอย่ากล้าหาญ
และในขณะที่ตัวละครหนึ่งในหนังตั้งคำถามว่า, มีที่สำหรับคนอ่อนแอเช่นข้าบนโลกนี้ไหม?
ฉันก็ถามตัวเองไปพร้อมๆ กัน
และรอฟังคำตอบ
มีเพียงความเงียบจากพระเจ้าผู้ไร้ตัวตน
“พระเจ้าของข้า…”
ท่านเคยรู้บ้างไหม…
ถึง
“ฉากแสดงแห่งความอัปยศ…เหล่านี้”
ท่านเคยรู้บ้างไหม…
ว่า…
ในความจริงของ… “สิ่งทั้งหมด”
…………….
“แผ่นดินชีวิต”
ของข้า…และญาติพี่น้อง
เป็นเหมือนหนึ่ง
“นักเดินทางผู้แสวงหา”
……………..
เขามี “เสรีภาพ” ในจิตวิญญาณของดวงตา
…มี “จิตศรัทธา” ในเพลิงปรารถนาของวิญญาณ*
ตลอดทั้งเรื่องฉันได้ยินคำถามมากมายถึงเรื่องความเชื่อ ความดี อะไรคือดี ความดีสูงสุดนั้นเป็นสากลหรือไม่ ทำไมเราถึงเชื่ออย่างอื่นไม่ได้ ทำไมความต่างจึงเป็นภัยต่อสังคม
มันไม่ใช่แค่การถามว่าเราเชื่ออะไร เราศรัทธาในอะไร สิ่งนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ แต่มันไปไกลกว่านั้น
ตัวละครในหนังนั้นต่างความเชื่อ จึงถามผ่านกันและกันว่าเชื่อไปแล้วได้อะไร ความศรัทธาของเรามันส่งผลอะไรกับใครอย่างไรบ้าง ความยึดมั่นของคุณกำลังโบยตีคนอื่น และเลือดที่หลั่งรดแผ่นดินนั้นคือเลือดของผู้ที่เชื่อเช่นคุณ
มันคือศรัทธาที่ผิดกฎหมาย
มันมีราคาที่ต้องจ่าย
มันคือความหยิ่งยโสหรือเปล่า ว่าสิ่งที่เราเชื่อถูกกว่าคนอื่น
เหยียบย่ำศรัทธานั้นมันง่ายกว่าการคำนับ
“ทําไมข้าต้องเกิดมาในยุคสมัยที่โหดร้ายเช่นนี้ด้วย” ตัวละครคนเดิมรำพันออกมา
ใช่
ทำไมกัน
การเอาชีวิตรอดกับการมีศักดิ์ศรีนั้น มันไปด้วยกันได้จริงหรือเปล่า
เราจะยังมีศักด์ศรีเหลืออยู่หรือไม่ หากเราไม่ยืนยันความเชื่อของตนเอง
หรือเราต้องตาย แล้วกลายเป็นหน่วยนับหน่วยหนึ่ง ไม่เหลือชีวิตไว้เพื่อส่งต่อศรัทธา
“พระเจ้าของข้า…”
ถึงแม้ท่านจะเป็นใครก็ตาม
ข้าก็อยากจะบอกกับท่าน…(อีกสักครั้ง) ว่า…
ข้าอยากจะตอกสลักและตีตรา
…อยากจะจารจารึก…
……………..
“ชีวิตของข้า…แผ่นดินชีวิตของข้า”
……………..
นักเดินทางผู้แสวงหา…พระเจ้าผู้ไม่มีตัวตน*
ลาก่อน…
“พระเจ้าของข้า…”
ดูเหมือนว่า…ข้ายังเป็นเพียงท่อนไม้ที่โง่งม…ขมขื่น
ความรู้สึกของข้า…
ช่างเปล่าดายกับ “ทุกสิ่ง”
บนหนทางแห่งความว่างเปล่ามืดมน…อย่างไม่น่าเชื่อ*
————————————————————————————————————-
*ข้อความจากในหนังสือ
– ภาพยนตร์เรื่อง Silence กำกับฯ โดย มาร์ติน สกอร์เซซี (2016)