โควิด-19 : อนามัยโลก ชี้ยังไร้หลักฐาน เด็ก-วัยรุ่น ต้องฉีดวัคซีนเข็ม 3 -หวั่นเกิดสายพันธุ์ใหม่

WHO เผยยังไม่มีหลักฐานในขณะนี้ว่า เด็กและวัยรุ่นที่มีสุขภาพดี จำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เตือน โอมิครอนไม่ใช่สายพันธุ์สุดท้าย หวั่นเกิดสายพันธุ์ใหม่ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกพุ่งกว่า 18 ล้าน ภายใน 1 สัปดาห์  

วันที่ 19 มกราคม 2565 แชนแนลนิวส์เอเชียรายงานว่า ดร.โสมยา สวามีนาธาน หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ประจำองค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่า ยังไม่มีหลักฐานในขณะนี้ว่า เด็กและวัยรุ่นที่มีสุขภาพดีจำเป็นต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น

เธอกล่าวในการบรรยายสรุปว่า ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนดูเหมือนจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ในขณะที่โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่ากลุ่มใดบ้างที่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

เธอกล่าวอีกว่า “ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าเด็กหรือวัยรุ่นที่มีสุขภาพดีจำเป็นต้องฉีดเข็มกระตุ้น ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ เลย”

อย่างไรก็ตาม อิสราเอลเริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นกับเด็กอายุ 12 ปี ขณะที่เมื่อช่วงต้นเดือน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ อนุมัติให้ใช้วัคซีนเข็ม 3 ของไฟเซอร์และไบออนเทคกับเด็กอายุ 12-15 ปี

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เยอรมนีกลายเป็นประเทศล่าสุดที่แนะนำให้เด็กทุกคนที่มีอายุระหว่าง 12-17 ปี ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เช่นเดียวกับฮังการี

ขณะที่ ซีเอ็นบีซีรายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่า การระบาดของโควิด-19 จะยังไม่สิ้นสุด แม้ว่าการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนในบางประเทศจะลดลง พร้อมเตือนว่าการติดเชื้อในอัตราที่สูงทั่วโลก มีแนวโน้มทำให้เกิดสายพันธุ์ใหม่จากการกลายพันธุ์ของไวรัส

“มาเรีย แวน เคอร์คอฟ” หัวหน้าฝ่ายเทคนิกด้านโควิดของ WHO กล่าวระหว่างการอัพเดตสถานการณ์ในนครเจนีวาว่า “เราได้ยินหลายคนพูดว่าโอมิครอนเป็นสายพันธุ์สุดท้าย ทุกอย่างจะจบลงหลังจากนี้ แต่ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะไวรัสชนิดนี้กำลังแพร่กระจายในระดับที่รุนแรงมากทั่วโลก”

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 20% ทั่วโลก โดยมีรายงานผู้ป่วยทั้งหมดเกือบ 19 ล้านคนตามรายงานของ WHO แต่ “แวน เคอร์คอฟ” คาดว่า ตัวเลขจริงสูงกว่านี้มาก เพราะยังมีผู้ติดเชื้อที่ยังไม่ได้รายงานในระบบ

ดร.บรูซ เอิลเวิร์ด เจ้าหน้าที่อาวุโสของ WHO เตือนว่า การแพร่เชื้อในระดับสูงทำให้ไวรัสมีโอกาสแพร่พันธุ์และกลายพันธุ์มากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดสายพันธุ์ใหม่

“เรายังไม่รู้ถึงผลที่ตามมา หากปล่อยให้มีการระบาดอย่างเต็มที่” เอิลเวิร์ดกล่าว และว่า “สิ่งที่เราพบเป็นส่วนใหญ่ในพื้นที่ที่ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้คือเราต้องเจอกับสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอน ที่เราต้องจัดการ”

“แวน เคอร์คอฟ” กล่าวว่า ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะผ่อนคลายมาตรการด้านสาธารณสุข เช่น การสวมหน้ากาก และการเว้นระยะห่าง เธอเรียกร้องให้รัฐบาลต่าง ๆ เพิ่มความเข้มงวดต่อมาตรการเหล่านี้ เพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัส และป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในอนาคต เมื่อมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น

“หากเราไม่ทำตอนนี้ เราจะเดินไปสู่วิกฤตครั้งต่อไป” แวน เคอร์คอฟ กล่าวและว่า “เราจำเป็นต้องยุติวิกฤตที่เรากำลังเผชิญอยู่ ซึ่งเราสามารถทำได้ในขณะนี้ อย่ามองข้ามหลักทางวิทยาศาสตร์ อย่าละทิ้งกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผล ซึ่งทำให้เราและคนที่เรารักปลอดภัย”