ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 มกราคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ปริศนาโบราณคดี |
ผู้เขียน | เพ็ญสุภา สุขคตะ |
เผยแพร่ |
ปริศนาโบราณคดี
เพ็ญสุภา สุขคตะ
ใครต่อนิ้วพระพุทธรูปให้ ‘พระเจ้าดับภัย’? (1)
น่าแปลกทีเดียวที่พระประธานในวิหารวัดดับภัย จังหวัดเชียงใหม่ องค์ที่มีชื่อเฉพาะว่า “พระเจ้าดับภัย” หรือ “หลวงพ่อดับภัย” นั้น พบร่องรอยคล้ายว่ามีการต่อนิ้วพระพุทธรูปให้ยาวขึ้น (ทางเหนือเรียก “ต่อนิ้วพระเจ้า”) บริเวณนิ้วกลางด้านขวา (มองจากผู้ดูจะอยู่ด้านซ้าย)
เป็นนิ้วกลางของพระพุทธรูปที่กระทำปางมารวิชัย ด้วยการเอานิ้วจรดแตะลงบนแผ่นดิน เพื่อเรียกพระแม่ธรณีมาเป็นพยานในการตรัสรู้ธรรม นิ้วกลางนี้มีความยืดยาวมากเป็นพิเศษ ยาวเกินกว่าพระพุทธรูปองค์อื่นๆ ที่เคยพบทั่วไปในล้านนา จนชวนให้ต้องตั้งคำถามว่า
ใครมาต่อนิ้วให้พระพุทธรูปองค์นี้หนอ?
พระเจ้าดับภัยมีความเกี่ยวข้องกับ “พระพุทธสิหิงค์” หรือไม่ เนื่องจากตำนานพระพุทธสิหิงค์มีเรื่องราวของการต่อนิ้วพระพุทธรูป?
รวมไปถึงคำถามที่ชวนตื่นเต้นระทึกใจ หรือว่านี่คือพระพุทธสิหิงค์องค์จริงที่เราตามหา?
ปูมหลังของชื่อวัดดับภัย
เรามาทำความรู้จักกับประวัติความเป็นมาของพระเจ้าดับภัยกันก่อน จากการสัมภาษณ์พระครูโอภาสปัญญาคม เจ้าอาวาสวัดเล่าว่า วัดดับภัย รวมทั้งพระเจ้าดับภัยน่าจะสร้างขึ้นสมัยพระเจ้าติโลกราชถึงพระยอดเชียงราย ประมาณ พ.ศ.2021-2038
วัดนี้ไม่ปรากฏนามผู้สร้าง จากที่บันทึกสืบต่อกันมา กล่าวแต่เพียงว่าวัดนี้สร้างเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาและเชิดชูวงศ์ตระกูล (แต่จากหนังสือประวัติวัดในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ จัดทำโดยวัดพระสิงห์ พ.ศ.2548 ระบุว่าวัดดับภัยสร้างในปี 2120 ยุคที่เชียงใหม่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าแล้ว ทว่าศักราชดังกล่าวนี้ ดูจะขัดแย้งกับรูปแบบศิลปะของพระพุทธรูป)
กล่าวกันว่า ชื่อเดิมของวัดนั้นคือ “วัดตุงกระด้าง” น่าจะเป็นชื่อเก่าตั้งแต่สมัยล้านนา ส่วนการที่มาได้ชื่อว่า “วัดดับภัย” ในภายหลังนั้น ทางวัดเล่าว่า เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ชื่อ “พญาอภัย” (ไม่ได้ระบุว่าท่านผู้นี้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยใดอย่างแน่ชัด)
เหตุการณ์เริ่มจากการที่พญาอภัยเกิดป่วยหนัก จึงได้ไปกราบพระพุทธรูปองค์หนึ่งซึ่งอยู่ในวัดใกล้บ้าน แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอพึ่งบารมีของพระพุทธปฏิมาองค์นั้น ว่าให้หายป่วย ปรากฏว่าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยหายเป็นปลิดทิ้ง
พญาอภัยจึงอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นั้นติดตัวไปไหนต่อไหนด้วยทุกหนแห่ง คล้ายกับเป็นพระประจำตัว เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและบริวาร
ทำให้วัดที่พญาอภัยอุปถัมภ์จึงมีชื่อว่าวัดดับภัย พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ก็มีนามเดียวกันว่า “พระเจ้าดับภัย” เป็นการตั้งตามนามของท่านคือ “อภัย” และตามพุทธคุณของพระประธานที่ช่วยดับทุกข์ ดับโศก ดับโรค ดับภัย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
พุทธศิลป์ “พระเจ้าดับภัย” คล้ายกับ “พระสิงห์ปาย”
รูปแบบศิลปะของ “พระเจ้าดับภัย” เป็นพระพุทธรูปสมัยล้านนาที่มีอายุราวต้นพุทธศตวรรษที่ 21 (ราว พ.ศ.2000-2030) หล่อด้วยทองสำริด ปางมารวิชัย ดังที่นิยมเรียกกันว่าพิมพ์นิยมแบบ พระสิงห์ 1 หรือบ้างก็เรียกว่า พระพุทธสิหิงค์จำลอง
กล่าวคือ พระพักตร์กลมอมยิ้ม พระหนุ (คาง) เป็นปม เม็ดพระศกโต อุษณีษะค่อนข้างยกสูงเป็นกรวยสามเหลี่ยม รองรับเกตุบัวตูม (ทางเหนือเรียกจิกโมลี) ปลายแหลม พระวรกายอวบอ้วน ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร (แลเห็นฝ่าพระบาทซ้อนทั้งสองข้าง)
ข้อสังเกตที่โดดเด่นมากเป็นพิเศษมีอยู่ 3 ประการ
ข้อแรก ในส่วนพระศอนั้น พบว่าค่อนข้างยืดยาวสูงมากกว่าพระสิงห์ทั่วไป
ข้อที่สอง พระพักตร์กลมมากเป็นพิเศษ ยิ่งมีพระศอยาว ก็ยิ่งขับเน้นทำให้เห็นว่าพระวรกายดูเล็กกว่าพระสิงห์องค์อื่นๆ เมื่อเทียบกับพระพักตร์ที่ค่อนข้างกลมโต
ข้อที่สาม ชายสังฆาฏิที่พาดเหนือพระอังสาค่อนข้างสั้น แทบมองไม่เห็นจากมุมล่าง ในพื้นที่ที่สาธุชนนั่งกราบเบื้องหน้าพระประธาน กว่าจะเห็นชายสังฆาฏินี้ได้ ต้องลุกขึ้นยืนชะเง้อชะแง้มองอ้อมไปด้านหลังหรือด้านข้างองค์พระปฏิมา
ซึ่งลักษณะพิเศษที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ นอกเหนือไปจากพระเจ้าดับภัยแล้ว ยังพบในพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งที่เรียกกันว่า “พระสิงห์ปาย” พระประธานในวิหารวัดศรีดอนชัย อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ทุกครั้งที่ดิฉันเพ่งพินิจรายละเอียดของพระเจ้าดับภัยคราวใด อดไม่ได้เลยที่จะต้องประหวัดนึกไปถึงพระพุทธรูปอีกองค์ที่ประพิมพ์ประพายคล้ายกันมาก นั่นคือ “พระสิงห์ปาย” องค์ที่ดิฉันเคยไปกราบและถ่ายรูปไว้ (ระยะไกลมาก ตั้งอยู่บนบุษบกสูงมาก ทำให้ไม่สามารถเห็นเต็มองค์) เมื่อปี 2557 จึงลองนำพระทั้งสององค์มาเปรียบเทียบกันดู และพบว่ามีลักษณะที่ละม้ายคล้ายคลึงกันมากจริงๆ
กรณีพระสิงห์ปายนั้น ศาสตราจารย์เกียรติคุณ หม่อมหลวงสุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เขียนถึงพระสิงห์หรือพระพุทธสิหิงค์จำลองสององค์ในอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้แก่ที่วัดศรีดอนชัย และวัดหลวง ไว้ในหนังสือ “พระพุทธรูปล้านนา กับคติพระพุทธศาสนามหายานแบบตันตระ นิกายวัชรยาน” พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2559 โดยดิฉันขอหยิบยกบางข้อความ บางประเด็นมาเรียบเรียงใหม่ โดยไม่ได้เพิ่มเติมข้อมูลและความเห็นใดๆ เพียงแต่ตัดทอนบางข้อความเช่น การที่ผู้เขียนใส่วงเล็บคริสต์ศักราช หรือวงเล็บคำอธิบายหมายเลขรูปภาพ เอามาแต่สาระหลักๆ
ดังนี้
“พระพุทธสิหิงค์ในวัดศรีดอนชัยมีพระศอค่อนข้างยาว พระพุทธสิหิงค์ที่ปายทั้งสององค์นี้ (คือที่วัดหลวง และวัดศรีดอนชัย) อาจถูกนำมาจากเชียงใหม่ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เพราะมีพุทธลักษณะแบบพระพุทธสิหิงค์ในเมืองเชียงใหม่ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยช่างปาย ซึ่งแสดงให้เห็นลักษณะฝีมือช่างท้องถิ่นชัดเจน ดังตัวอย่างพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ พ.ศ.2044 ในวัดหมอแปง อำเภอปาย ซึ่งจารึกที่ฐานระบุว่าสร้างขึ้นโดยเจ้าหมื่นปาย ชื่อศรีธรรมจินดา”
ข้อความดังกล่าวมีประเด็นชวนให้คิดว่า “พระสิงห์ปาย” วัดศรีดอนชัย (ซึ่งดูคล้ายกับพระเจ้าดับภัยอย่างมาก) รวมทั้งพระสิงห์วัดหลวงเมืองปาย น่าจะมีการโยกย้ายไปจากเชียงใหม่ ในมุมมองของศาสตราจารย์เกียรติคุณ หม่อมหลวงสุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์
โชคดีที่พระสิงห์หรือพระพุทธสิหิงค์วัดหลวงเมืองปายมีจารึกที่ฐานระบุปีศักราชที่สร้างตรงกับ พ.ศ.2028 หล่อโดย “เจ้าเถรสีลสังยมะ” จากศักราชดังกล่าวตรงกับช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 21 สอดรับกับพุทธลักษณะของพระสิงห์ในกลุ่มนี้ทั้งหมด คือทั้งของวัดหลวง วัดศรีดอนชัย และพระเจ้าดับภัย
หากเราถอดรหัสได้ว่า ใครคือ “เจ้าเถรสีลสังยมะ” ผู้สร้างพระสิงห์องค์ที่ปัจจุบันประดิษฐาน ณ วัดหลวงเมืองปาย ว่าท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสหรือจำพรรษาที่วัดใดในเชียงใหม่มาก่อน ก็อาจจะช่วยให้เราคลำทางต่อไปถึง พระสิงห์ปายวัดศรีดอนชัย และอาจรวมไปถึงการช่วยไขปริศนาของพระเจ้าดับภัยได้อีกด้วย
เหตุที่เป็นพระสิงห์ในกลุ่มเดียวกัน (คอยาว นิ้วยาว พระพักตร์โต พระองค์เล็ก)
น่าสนใจว่า พระสิงห์สององค์แห่งเมืองปาย เป็นศิลปะสกุลช่างเชียงใหม่ แล้วใครเล่าเป็นผู้ย้ายไปไว้ที่เมืองปาย?
เป็นไปได้หรือไม่ ว่าพระญายอดเชียงราย กษัตริย์ล้านนาลำดับที่ 10 (ครองราชย์ พ.ศ.2030-2038) บั้นปลายพระชนม์ชีพได้ถูกเนรเทศโดยพระมเหสีโป่งน้อย ให้ไปกักตัวที่ “เมืองน้อย” ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอปาย ช่วงนั้นพระองค์ได้นำพระพุทธสิหิงค์หรือพระสิงห์สององค์จากเชียงใหม่ไปไว้บูชาด้วย
ครั้นภายหลัง เมื่อเมืองน้อยพ้นจากสภาพการเป็นเมืองเนรเทศเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยล้านนาแล้ว ยุคที่มีการฟื้นฟูเมืองปาย มีการสร้างวัดขึ้นในชุมชนที่ผู้คนอาศัย เช่น วัดหลวง วัดศรีดอนชัย อาจมีผู้พบเห็นพระพุทธรูปในเมืองน้อยสององค์ จึงอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นพระประธานในวัดทั้งสองนี้ดังกล่าวก็เป็นได้
นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นข้อหนึ่งของดิฉันเท่าที่คิดได้ ณ ตอนนี้เท่านั้น ยังไม่ใช่ข้อสรุปตายตัว
นอกจากนี้แล้ว ศาสตราจารย์เกียรติคุณ หม่อมหลวงสุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า พระพุทธสิหิงค์สององค์ที่เมืองปาย มีลักษณะพิเศษมาก คือ
“นิ้วพระหัตถ์และพระบาทไม่เสมอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิ้วพระหัตถ์ขวาที่แสดงปางมารวิชัยมักมีลักษณะโก่งเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังกระดิกนิ้วในบางครั้งนิ้วพระหัตถ์กลางของพระหัตถ์ขวาที่ยาวลงมาเสมอขอบฐานนั้นก็มีชิ้นโลหะเชื่อมต่อไว้กับฐานโดยจงใจ”
น่าเสียดายที่ในหนังสือเล่มดังกล่าวไม่ได้มีตัวอย่างการศึกษารูปแบบพระสิงห์ของพระเจ้าดับภัย องค์ที่ดิฉันกำลังสงสัยอยู่นี้ แต่มีการวิเคราะห์ถึงพระสิงห์ปายอย่างละเอียด
ในเมื่อดิฉันเห็นว่า พระสิงห์ปายมีรูปแบบพุทธศิลปะที่คล้ายคลึงกับพระเจ้าดับภัยมากที่สุด จึงจำเป็นต้องหาผลการศึกษาวิจัยจากผู้รู้ที่เคยวิเคราะห์ถึงพระสิงห์ปายแล้วอย่างละเอียดมาเป็นตัวตั้งให้ช่วยคลำทางต่อไป
ปัจจุบัน “พระสิงห์ปาย” เป็นพระพุทธรูปคู่เมืองปาย เช่นเดียวกับ “พระเจ้าดับภัย” ก็เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของเชียงใหม่องค์หนึ่ง
เห็นได้จากการที่คณะสงฆ์และคณะศรัทธาของวัดดับภัยทำพิธีเบิกสมโภช พิธีสืบชะตาสะเดาะเคราะห์และสรงน้ำพระเจ้าดับภัยเป็นประจำทุกปี ด้วยการนิมนต์พระสงฆ์จำนวน 69 รูป มาสวดมนต์ตั๋น (สวดเต็มทุกบท) จัดในช่วงวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 เหนือ ซึ่งตรงกับวันเสาร์แรก หรือเสาร์ที่สองของเดือนพฤษภาคมโดยประมาณทุกปี